ลูกสาว ยอมรับ นำพ่อพิการมาทิ้งให้นอนบนถนนหน้าบ้านในจังหวัดระยอง จนเพื่อนบ้านต้องแจ้งตำรวจช่วยเหลือ ลั่น ไม่ขอโทษ เผย ใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ เล่าปมสุดทน ดื้อไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง ด้านเจ้าหน้าที่ พม. รุดเจรจา สรุปจะดูแลให้ก่อน 1 สัปดาห์ ก่อนส่งกลับมาให้ลูกทดลองเลี้ยงดูอีกครั้ง
จากกรณีตำรวจ สภ.เมืองระยอง และหน่วยกู้ภัยสว่างพรกุศล เข้าช่วยเหลือ นายคมจิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี หลังถูกลูกสาวทิ้งให้นอนบนถนนหน้าบ้าน โดย นายคมจิต ให้การว่า ตนป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ได้มาอาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสาว ประมาณ 1 ปี ก่อนเกิดเหตุปัญหากับลูกสาวบ่อยครั้ง ล่าสุดตนไม่ยอมออกกำลังกาย และมีปัญหาเรื่องอื่น จนทำให้ลูกสาวโมโหตีและเอาตัวมาทิ้งบนถนนหน้าบ้าน พร้อมด้วยวีลแชร์และกระเป๋าเสื้อผ้า ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 6 พ.ค.2565 น.ส.เรวดี จันทเปรมจิตต์ ผอ.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจ.ระยอง พร้อมด้วย น.ส.ปาริฉัตร อัศดร หัวหน้าฝ่ายสวัสดิการสงเคราะห์ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจ.ระยอง และ นางจีรยดา ธรรมบุษดี ผอ.ศูนย์บริการคนพิการจ.ระยอง เดินทางมาที่บ้านเกิดเหตุในพื้นที่ อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป
เมื่อเดินทางไปถึงพบ น.ส.เกศริน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี เจ้าของบ้าน ที่ยอมรับว่า เป็นลูกสาวของนายคมจิต และยอมรับเป็นคนพาพ่อไปทิ้งอยู่หน้าบ้าน ก่อนจะเปิดเผยว่า นายคมจิตเป็นพ่อแท้ ๆ ที่ได้รับมาเลี้ยงดูเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา โดยพ่อมีอาการป่วยเป็นอัมพฤกษ์ แต่ยังสามารถช่วยตัวเองได้ ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันตนพยายามดูแล ให้กายภาพ ออกกำลังกาย เพื่อเป็นการฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้น แต่พ่อมักจะดื้อและไม่ยอมทำตาม จนเกิดปัญหาระหองระแหงกันเรื่อยมา
น.ส.เกศริน กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทิ้งพ่อหน้าบ้าน เกิดจากพ่อให้ทางภรรยาใหม่ที่ จ.สงขลา ส่งของมาให้ แต่กลับไม่ยอมส่งมาที่บ้าน กลับให้ส่งไปบ้านญาติที่อยู่ห่างไปกว่า 40 กิโลเมตร ต้องลำบากให้เขามาส่งให้ จึงเกิดการทะเลาะกัน และประกอบกับหลาย ๆ ปัญหาที่สะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ยอมทำกายภาพ และไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกาย ทั้ง ๆ ที่ยังสามารถเดินได้
“ด้วยอารมณ์โมโห จึงทิ้งพ่อไว้หน้าบ้าน และไม่ยอมเลี้ยงพ่ออีกแล้ว ซึ่งการทิ้งพ่อไม่ใช่ครั้งแรก เคยทำมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ก็จะพาเข้าบ้านทุกครั้ง แต่ครั้งนี้สุดทน เพราะไม่ไหวแล้ว จึงทิ้งพ่อตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 1 ทุ่ม ก่อนที่จะมีคนแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือนำตัวไป โดยคิดว่าจะไม่ยอมรับกลับมาดูแลอีก ใครจะว่าลูกทรพีก็ยอม เพราะคนดูแลมีอาการเครียดกว่าผู้ป่วยอีก และจะไม่ขอโทษพ่อซึ่งเคยพูดกับพ่อไปแล้ว” น.ส.เกศริน กล่าว
น.ส.เกศริน กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เล็กจนโต ตนกับน้องชายต้องดูแลกันเอง พ่อไม่เคยมาดูแล เพราะถูกดำเนินคดีจนติดคุก ตนจึงต้องออกจากโรงเรียนมาเป็นเด็กปั๊มหาเงินส่งน้องเรียน พ่อก็ไม่เคยมาเลี้ยงดูปล่อยให้เด็กสองคนต้องอยู่กันเองตามลำพัง เอาที่ดินไปจำนองก็ไม่เคยให้เงิน ในตอนแรกที่รับมาดูแลเพราะไม่มีใครเอาแล้ว ญาติทุกคนต่างทนพฤติกรรมไม่ไหว ตนกับน้องชายจึงรับมาดูแล
น.ส.เกศริน กล่าวด้วยว่า แต่สุดท้ายก็รับไม่ไหว ใครไม่เจออย่างตนคงไม่รู้ ทั้งทำงานหาเงินด้วยการส่งของ เพราะตกงาน แต่กลับต้องมาเจอกับพ่อที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทั้ง ๆ ที่ตนก็ดูแลการกินความเป็นอยู่อย่างดี แต่ยังถูกพ่อทำร้ายโดยการขว้างของใส่ จนหมดความอดทน จึงไม่ขอรับกลับมาดูแล ต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่นำไปดูแลต่อไป
ด้าน น.ส.เรวดี กล่าวว่า หลังจากพูดคุยกับ น.ส.เกศริน จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า ทางศูนย์จะพานายคมจิตไปดูแลก่อน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะส่งตัวกลับมาให้ น.ส.เกศริน ดูแลต่อ โดย น.ส.เกศริน ยอมรับข้อเสนอ โดยมีเจ้าหน้าที่จะให้การดูแลพร้อมให้คำปรึกษา หากมีปัญหาขึ้นอีกก็จะนำตัวไปดูแลต่อไป ทั้งนี้ น.ส.เกศริน เปิดเผยด้วยว่า ยอมรับข้อเสนอ แต่หากพ่อกลับมาอยู่แล้ว เกิดปัญหาเดิม ๆ ขึ้นอีก ก็จะไม่ขอดูแลต่อไป
น.ส.ปาริฉัตร กล่าวว่า สำหรับนายคมจิต ขณะนี้อยู่ในความดูแลของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ระยอง อ.นิคมพัฒนา โดยจะพาไปตรวจร่างกาย เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ ซึ่งศูนย์จะดูแลไปก่อน 1 สัปดาห์ตามข้อตกลงของบุตรสาวนายคมจิต ก่อนจะพากลับมาอยู่กับบุตรสาว
ด้าน เพื่อนบ้าน ต่างก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายหนึ่งก็ป่วย อีกฝ่ายก็เหนื่อยที่ต้องทำงานด้วย และดูแลผู้ป่วย แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะการทำร้ายบุพการีตามหลักศาสนาถือเป็นบาปหนัก จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่ก็เห็นใจบุตรสาวเรื่องที่ต้องแบกภาระไว้ลำพัง จึงก่อให้เกิดความเครียดเกิดขึ้น