ศึกเฟร้นช์ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นการพบกันระหว่างแชมป์สูงสุด 12 สมัยอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง พบกับ แซงต์ เอเตียน แชมป์ 6 สมัย
โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ชาวเยอรมันวัย 46 ปีของเปแอสเช จัดชุดใหญ่หน้าคู่วาง เมาโร อีการ์ดี้ และคีลิยัน เอ็มบัปเป้ ล่าตาข่ายโดยมีตัวสนับสนุนชั้นยอดอย่าง เนย์มาร์
ส่วนทางฝั่ง โคล้ด ปูแอล เทรนเนอร์ของ แซงต์ เอเตียน วาง โรแม็ง อามูม่า และเดอนีส์ บวงก้า เป็นทีเด็ด
ผลปรากฎว่า เริ่มเกมได้ 14 นาที เป็นฝั่งของเปแอสเชมาจัดการพังประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ เอ็มบัปเป้ ได้แปด้วยขวาในเขตโทษไปติดเซฟ เชสซี มูแล็ง ผู้รักษาประตูแซงต์ เอเตียง มาเข้าไป เนย์มาร์ แปด้วยซ้ายซ้ำดาบสองเช็ดคานเข้าไป ส่งให้อดีตแชมป์ 12 สมัยออกนำ 1-0
จากนั้นนาทีที่ 31 แซงต์ เอเตียง ต้องมาเหลือ 10 คน จากจังหวะที่ โลอิก แปร์กแร็ง ไปเสียบสกัดใส่ เอ็มบัปเป้ อย่างรุนแรง ซึ่งผู้ตัดสินไปดูเหตุการณ์ย้อนหลังที่จอ VAR แล้วควักใบแดงไล่ออกไป
ขณะเดียวกัน จังหวะดังกล่าวกลายเป็นชนวนทำให้นักเตะทั้งสองทีมรุมมีเรื่องกันด้วย จนมีนักเตะโดนใบเหลืองถึง 5 คน แบ่งเป็นของแซงต์ เอเตียง 2 คน และเปแอสเช 3 คน
นอกจากนี้ เปแอสเช ยังต้องเสีย เอ็มบัปเป้ ซึ่งข้อเท้าขวาพลิกจากการโดนเสียบสกัดหนักดังกล่าวด้วย ทำให้ต้องส่ง ปาโบล ซาราเบีย ลงมาแทน ในนาทีที่ 33 กระทั่งจบครึ่งแรกยังเป็นอดีตแชมป์ 12 สมัยที่นำอยู่ 1-0
ครึ่งหลัง แซงต์ เอเตียน บุกหนักเพื่อทวงประตูเสมอให้ได้ แต่บอลยังไม่ผ่านแนวรับเปแอสเชที่เล่นอย่างเหนียวแน่น
จนจบเกม ผู้ตัดสินเป่าจบการแข่งขันเป็นอันว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คว้าชัยะเหนือ แซงต์-เอเตียน 1-0 คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 13