นายอำเภอวังสะพุงสั่งปลัดอำเภอขึ้นโรงพักแจ้งความดำเนินคดีพนักงานสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโควิด-19 กลับจากกรุงเทพฯ ไม่ยอมรายงานตัว จนท.ปกครอง-จนท.สาธารณสุข หรือ อสม. ซ้ำโต้เถียงโวยวายใส่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ้างขับรถยนต์ส่วนตัวกลับมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร
วันที่ 14 ส.ค.64 นายภูริวัจน์ โชตินพรัตน์ นายอำเภอวังสะพุง จ.เลย มอบหมายให้ นายวีระพล ใจดี ปลัดอำเภอวังสะพุง เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับ ร.ต.อ.จักรชัย จันนา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.วังสะพุง ให้ดำเนินคดีกับหญิงสาวรายหนึ่ง ที่เดินทางมาจาก กทม. แฃ้วเข้ามาอยู่บ้าน ในพื้นที่ ต.ปากปวน อ.วังสะพุง แต่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามประกาศจังหวัดเลย
นายภูริวัจน์ กล่าวว่า ก่อนที่จะตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งได้เดินทางจาก กทม.ด้วยรถส่วนตัว และเข้ามาในพื้นที่อำเภอวังสะพุง ในพื้นที่หมู่ 6 ต.ปากปวน อ.วังสะพุง ไม่มารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ หรือ แจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมง นับตั้งแต่เดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดเลย
ในการนี้เริ่มแรกผู้ใหญ่บ้าน และคณะได้อำนวยความสะดวกแก่ บุคคลดังกล่าวโดยได้เข้าพบที่บ้าน เพื่อให้บริการในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรการฯ ตามประกาศจังหวัดเลย และขอให้บุคคลดังกล่าวแสดงผลการตรวจโควิด-19 ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือหากยังไม่ตรวจก็ขอให้เข้ารับการตรวจโรคด้วยชุดตรวจโควิด Antigen Test Kit หรือวิธี RT-PCR แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ และขอให้กักตัวภายในบ้าน 14 วัน พร้อมกับขอให้เซ็นเอกสารยินยอมในการกักตัว แต่บุคคลดังกล่าวกลับมีพฤติกรรมฝ่าฝืน ดื้อดึง ไม่รับฟัง และไม่ยอมกักตัวและไม่ยอมเซ็นเอกสารใดๆ
ทางผู้ใหญ่บ้านจึงได้แจ้งต่ออำเภอวังสะพุง จึงได้ส่งให้ปลัดอำเภอร่วมกับคณะทำงานหมู่บ้านไปชี้แจง และทำความเข้าใจ แก่บุคคลดังกล่าว ในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตามมาตรการของจังหวัดเลย ตามประกาศจังหวัดเลย แต่บุคคลดังกล่าว ก็ไม่ยินยอมรับรู้หรือรับปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดเลยตามประกาศฯ หรือรับฟังปลัดอำเภอวังสะพุงแนะนำแต่อย่างใด
ทางอำเภอวังสะพุงพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า บุคคลดังกล่าว มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามประกาศจังหวัดเลย ลงวันที่ 6 สิงหาคม 64 จึงได้แจ้งความดำเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าว และเท่าที่ทราบว่า ทำงานอยู่ในสถานนีโทรทัศน์สาธารณะช่องหนึ่ง ในความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งระบุเป็นความผิดตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ