บทสรุปคดีน้องชมพู่ จบ หรือ จอด

คดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบที่เสียชีวิต กลายเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจ และตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่คดีนี้จะจบ แม้ตำรวจจะออกมาบอกว่าใกล้ได้ตัวคนร้ายแล้ว แต่เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปถึง 9 เดือน ดคีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย จนล่าสุดมีการนำผู้เกี่ยวข้องเข้าเครื่องจับเท็จ แล้วเรื่องนี้จะจบ หรือจะจอด ต้องรอดูผลวิเคราะห์จากตำรวจอีกครั้ง

 

 

สำหรับคดีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ 

  • เช้าวันที่ 11 พ.ค. 2563 “น้องชมพู่” หายตัวไป ขณะอยู่กับ “น้องสะดิ้ง” พี่สาว จนพ่อแม่พร้อมชาวบ้านออกตามหา กระทั่งบ่ายวันที่ 14 พ.ค. “ยายตุน” อายุ 70 ปี ชาวสกลนคร ไปเก็บเห็ดหาของป่า พบรองเท้าเด็กสีเขียวอยู่กลางป่า นำไปสู่การค้นหา และพบศพน้องชมพู่ในสภาพเปลือยกาย

  • เป็นจุดเริ่มเกิดตัวละครมากมายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ อย่างกับเรียลลิตี้ “กกกอกเดอะซีรีส์” ใครไม่ติดตามคงไม่ได้แล้ว และไม่แปลกที่จะมีเหล่ายูทูบเบอร์ หลายชีวิต ลงพื้นที่ปักหลักนำเสนอเรื่องราวมากมาย เพื่อเกาะกระแสความดังของลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ซึ่งได้กลายเป็น “ซุปตาร์”ไปแล้ว แม้อีกภาพหนึ่งตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย เช่นเดียวกับผู้ใกล้ชิดน้องชมพู่อีกหลายคน

  • ขณะที่ผลแปลเครื่องจับเท็จ จะเป็นกุญแจดอกสำคัญ อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อออกมาเป็นรายงาน ทางพนักงานสอบสวนจะนำไปพิจารณาตามขั้นตอน ซึ่งจะมีหลักฐานในการออกหมายจับผู้กระทำผิดได้หรือไม่ คงต้องลุ้นต่อไป

     

 

บทสรุปในคดีน้องชมพู่ จะเป็นอย่างไร? ระหว่าง “จบ” หรือ “จอด” จากการวิเคราะห์ของ “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า เนื่องจากไม่ทราบในเรื่องพยานหลักฐานทั้งหมด ทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยี วัตถุพยานและพยานบุคคล ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน รวมทั้งเครื่องจับเท็จ แต่เชื่อว่าตำรวจพอรู้ตัวว่าผู้ต้องสงสัยคือใคร จึงนำไปสู่การเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งต้องมีหลักฐานที่มีน้ำหนักในการออกหมายจับ นำไปสู่กระบวนการของศาล

 

ที่ผ่านมา จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐฯ มีการยืนยันว่าเครื่องจับเท็จ มีความแม่นยำประมาณ 99.99% หากมีการพูดโกหกเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตอบได้ ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต เหงื่อที่ออกมา และการเต้นของชีพจร เป็นต้น แต่ในแง่หลักฐานจากเครื่องจับเท็จ ศาลไม่รับฟัง 100% จะต้องหาพยานหลักฐานประกอบทำสำนวนคดี

 

 

“ตำรวจไม่เปิดเผยข้อมูลหลักฐานเหล่านี้ หรือให้ข่าวในลักษณะลับลวงพราง ใช่คือไม่ใช่ และไม่ใช่คือใช่ อย่างกรณีคดี ผอ.กอล์ฟ เคยบอกคนร้ายหนีจากพื้นที่ไปชายแดนแล้ว เพื่อให้คนร้ายตายใจ เช่นเดียวกับคดีน้องชมพู่ ตำรวจได้ตีวงแคบ จนรู้ว่าคนร้ายคือใคร และต้องหาพยานหลักฐานให้มีน้ำหนัก”

 

ก่อนหน้าที่พบศพน้องชมพู่ในป่า ซึ่งรถไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ต้องเป็นคนชำนาญในพื้นที่เดินทางไปที่เกิดเหตุ อีกทั้งหลักฐานในที่เกิดเหตุถูกทำลาย ถูกเหยียบย่ำไปแล้ว จนไม่เหลือ ซึ่งในต่างประเทศมีแผนกคดีแช่แข็ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนตำรวจผู้รับผิดชอบไปแล้ว แต่คดีที่ยังไม่จบ ยังสามารถหาหลักฐานใหม่ภายใน 20 ปี

 

เพราะฉะนั้นแล้วหากคดีน้องชมพู่ หาพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน และเมื่อเวลาผ่านไปอาจมีเทคโนโลยีทันสมัย จนสามารถยืนยันบุคคลก็ได้ว่าใครคือคนร้าย จากความก้าวหน้าทางนิติวิทยาศาสตร์.

 

 

 

 

ขอบคุณ ไทยรัฐ