กรณีพบนายคำปุ่น พิมผาดี อายุ 61 ปี และนางหม่อง พิมผาดี อายุ 58 ปี ราษฎรบ้านควายแดง สปป.ลาว นั่งเรือข้ามฝั่งมาขึ้นฝั่ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เข้ามาเยี่ยม นางลาโด้ พิมผาดี อายุ 30 ปี ลูกสาวซึ่งแต่งงานกับชาวบ้านหนองลาด ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เมื่อต้นเดือนสิงหาคม แต่นายคำปุ่นอาเจียนเป็นเลือดเสียชีวิตกะทันหัน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชาวบ้านผวา คิดว่านายคำปุ่นติดเชื้อโควิด-19 เพราะลักลอบเข้าเมือง ไม่ผ่านการคัดกรอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันพื้นที่และนำศพไปตรวจหาเชื้อ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 19 สิงหาคม 2563 เวลา10.00 น. ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี แจ้งในที่ประชุมว่า จากการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 จังหวัดอุดรธานี ยืนยันว่าไม่พบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในร่างกายของนายคำปุ่น พิมผาดี อายุ 61 ปี ผู้เสียชีวิตชาวลาว แต่อย่างใด จึงแจ้งประชาสัมพันธ์มาให้ทราบโดยทั่วกัน
ต่อมา พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ สงวนสมบัติศิริ รอง ผบก.บก.ตม.4 ในฐานะ โฆษก บก.ตม.4 สั่งการให้ พ.ต.ท.วชิราธร ภุมรินทร์ สว.ตม.จ.อุดรธานี เข้าไปดำเนินการตรวจสอบและควบคุมตัวนางหม่อง พิมผาดี และนางลาโด้ พิมผาดี ภรรยาและบุตรผู้เสียชีวิต ซึ่งมีสัญชาติลาว ตาม พรบ.คนเข้าเมือง โดยร่วมกับคณะกรรมการควบคุมโรค นำตัวส่ง ร.ต.อ.คงศักดิ์ คำสะอาด รอง สว.(สอบสวน) ตม.อุดรธานี ทำการสอบสวน ตรวจคนเข้าเมืองอุดรธานี
จากการสอบสวน นางลาโด้ ลูกสาวผู้ตาย ให้การว่า อยู่กินกับสามีคนไทยชาวหนองลาด ต.หนองเม็ก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ได้ประมาณ 10 ปี สามีไปทำงานรับจ้างปูกระเบื้องที่กรุงเทพ ฯ ส่วนตนเป็นแม่บ้านดูแลลูก 2 คน ต่อมาสามีป่วยโรคไต จึงพากันกลับมาบ้านที่ จ.อุดรธานี และสามีได้เสียชีวิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 หลังสามีตาย ก็ได้อาศัยอยู่กับน้องสาวของสามี เพราะญาติสามีสงสารและช่วยเลี้ยงดูหลานทั้งสองคน 2 คน โดยตนทำงานรับจ้างทั่วไป เมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ่อและแม่ ได้เดินทางมาอยู่กับตน เพราะถูกนายทุนยึดบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัย โดยไม่รู้ว่าพ่อป่วยเป็นวัณโรค แต่รู้ว่าพ่อป่วยเป็นเบาหวาน ส่วนแม่เคยป่วยเป็นวัณโรคแต่รักษาหายแล้ว หลังจากมาอยู่ได้ 2 สัปดาห์ พ่อก็มาเสียชีวิต ซึ่งพ่อเคยบ่นประจำว่า “พ่อจะตายตอนอายุ 61 ปี “ และพ่อก็ตายจริงๆ
ส่วนนางหม่อง ภรรยาผู้ตาย ให้การว่า ตนและผู้ตายเป็นหนี้นายทุน 2 ล้านบาท ไม่มีเงินใช้หนี้ จึงถูกยึดบ้านไม่มีที่อยู่ จึงได้โทรมาปรึกษาลูกสาวที่อยู่ฝั่งไทย ลูกได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน มาช่วยเลี้ยงหลาน ตนจึงจ้างเรือข้ามฝากมาคนละ 1,000 บาท ขึ้นฝั่งที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เหมารถตู้ 2 คน 15,00 บาท มาส่งที่บ้านลูกสาว โดยไม่รู้ว่าผู้ตายป่วยเป็นวัณโรค ส่วนผู้ตายก็ไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นวัณโรค ซึ่งอาจติดกับตน จนกระทั่งอาเจียนและเสียชีวิตทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำศพไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 แต่ไม่พบเชื้อ ชาวบ้านจึงได้จัดฌาปนกิจศพให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากกลับไปที่ สปป.ลาว ก็จะไปอาศัยอยู่กับญาติ และหนังสือเดินทาง เข้ามาอย่างถูกต้อง เพื่อมาหาหลาน
โดยตำรวจ ได้ถูกแจ้งข้อหาทั้งสองคน เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วนำตัวไปตรวจโรคที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะควบคุมตัวไปฝากขังไว้ที่ สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อรอการผลักดันกลับประเทศต่อไป