โรงพยาบาลสนามธรรมศาตร์วุ่นอีกรอบ เมื่อตรวจพบบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด-19 พบกลุ่มเสี่ยงสูงทำงานใกล้ชิดทั้งวอร์ดเข้ารับการ swab และกักตัวเจ็ดวันในทุกหน่วยงาน เกือบ 100 คน
วันที่ 11 ก.ค.64 เฟซบุ๊กเพจ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ รายงานว่า สถานการณ์ที่ธรรมศาสตร์วันนี้ก็ โกลาหลไม่แพ้สถานการณ์ของประเทศ เพราะเช้านี้เราพบว่ามีอาจารย์GI เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังของเรา มีผลตรวจเป็นบวกสามคน กับมีผู้ป่วยที่พักรักษาตัวมาหลายวันแล้วใน ward Ortho และใน ward CVTก็มีผล swab เป็นบวกด้วย
มาตรการป้องกันที่ตามมา คือการเก็บตัวบุคลากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงทำงานใกล้ชิดทั้งวอร์ดเข้ารับการ swab และกักตัวเจ็ดวันในทุกหน่วยงาน เกือบ 100 คนที่เข้าคิวรอรับการตรวจในวันนี้จึงเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลเกือบทั้งหมด
สัปดาห์หน้าจะเป็นสัปดาห์ที่ยากลำบากต่อกันไปอีกสัปดาห์หนึ่ง เพราะแม้พวกเราอาจจะได้กำลังจากหมอโรคทางเดินหายใจที่กลับมาทำงานได้บ้าง แต่ก็จะมีแพทย์และบุคลากรอีกหลายกลุ่มต้องออกไปกักตัวตามมาตรการความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อของโรงพยาบาลด้วย
เมื่อวาน ผู้ป่วยโควิดที่ล้นโรงพยาบาล และรอคิวอยู่หลายสิบคนมาหลายวันแล้วทำให้วอร์ด Cohort #2 ที่เพิ่งเปิดเมื่อวานนี้เองต้องรับผู้ป่วยใหม่เข้าไปทันทีแปดเคสในวันแรก และคงจะเต็ม 16 เตียงในเสาร์อาทิตย์นี้เลย เร็วกว่าที่ประเมินไว้ว่าวอร์ดจะเต็มในสี่ห้าวันอีกนะ
จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการติดเชื้อต่อเนื่องในโรงพยาบาลทำให้มาตรการคัดกรองผู้ป่วยทุกประเภทต้องเข้มงวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยทุกรายที่ส่งตัวจากภายนอกมาที่ห้องฉุกเฉิน ER จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจจะ เป็นผู้ป่วยบวก และจะต้องใช้มาตรการป้องกันอย่างเต็มที่สำหรับบุคลากรทุกคน ทั้ง N 95 faceshield และ PPE
อีกทั้งเรายังต้องการมี negative pressure room เพื่อรอผลตรวจเชื้อโควิดของผู้ป่วยฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นอีกสักสองสามเท่าเพื่อรอผลการตรวจเชื้อก่อนทำหัตถการต่างๆ ต้องการบุคลากรดูแลคัดกรองผู้ป่วยมากขึ้นแม้ในสถานการณ์วิกฤติที่มีผลต่อชีวิตของผู้ป่วย
สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้ต้องมีขั้นตอนและภาระงานเพิ่มมากขึ้น และการให้ความช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยทำได้ช้าลงกว่าเดิม โดยที่บุคลากรที่มีจำกัดอยู่แล้ว ต้องทำงานมากขั้นตอนขึ้น เหนื่อยและเครียดตลอดเวลา กับการที่จะต้องคอยรับคนไข้วิกฤติที่ต้องช่วยชีวิตเร่งด่วน ตลอดทั้ง 24ชม. ที่อาจจะเป็นผู้ติดเชื้อ และอาจทำให้บุคลากรได้รับเชื้อ และจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยอื่นๆได้อีกต่อไป