หนุ่มสายเปย์ซื้อลอตเตอรี่ง้อแม่ หวังถูก 12 ล้าน แจงหว่านเงินเพื่อแก้บน ด้านตร.แจ้งข้อหาแล้ว

ลูกสายเปย์ แอบกดเงินแม่เกือบ 3 แสนไปโปรยกลางตลาด เผยหมดเปลือก ต้องการแก้บนถูกหวย 2.9 หมื่น แต่มือหนักไปหน่อย ซื้อลอตเตอรี่ง้อแม่ หวังถูก 12 ล้าน ด้านผู้เป็นแม่ให้อภัย เงินที่หายไปคิดว่าฝันร้าย ไม่อยากให้ดำเนินคดี แต่ก็ไม่อยากให้ทำแบบนี้อีก ยังหวังเงินคืน

 

 

 

จากกรณี นางสมหวัง สมบัติ อายุ 70 ปี ชาว อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.นิธิวัฒน์ คำนนท์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.สตึก ว่า นายวุฒิศักดิ์ หรือปุ่ง อายุ 39 ปี ลูกชายของตัวเอง ได้ขโมยบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย และ ธกส. ไปกดเงินรวมเกือบ 3 แสนบาท แล้วเอาไปโปรยแจกในตลาดสดเทศบาลตำบลสตึก และซื้อของแจกชาวบ้าน เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา

 

ถึงกับหายโกรธ มือหว่านเงินรู้จุดอ่อนแม่ ซื้อล็อตเตอรี่ให้ ดีใจหวังถูก 12  ล้าน - TOPNEWS

 

ความคืบหน้า วันที่ 10 พ.ค.65 นางสมหวัง เปิดใจว่า ตอนนี้ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเสียดายเงินที่หามา บวกกับเงินฌาปนกิจศพของสามีคือ พ่อของนายปุ่ง 250,000 บาทถูกเฉือนหายไปด้วย

 

ด้านนายปุ่ง เปิดใจว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ตรงกับข่าวที่ออกไป เงินกดออกมารวมกว่า 300,000 บาทจริง แต่ก่อนจะหว่านเงินได้กดไปซื้อของและไปทำบุญให้พ่อ เงินที่เอาไปหว่านไม่ถึง 100,000 บาทตามที่เป็นข่าว แต่เอาเงินที่เหลือใน 3 แสน ไปซื้อข้าวสารอาหารแห้ง และไปให้ผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ประกาศเสียงตามสายให้ชาวบ้านมารับฟรี แต่ไม่กล้าบอกแม่กลัวโดนด่า

 

นายปุ่ง กล่าวว่า สาเหตุที่เอาเงินไปหว่านและซื้อของแจกชาวบ้าน เพราะได้บนกับท้าวสุวรรณนาคราชไว้ว่า ถ้าถูกหวยจะแจกเงินชาวบ้าน ปรากฏว่างวดวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนถูกเลขท้าย 58 ได้เงินมาประมาณ 29,000 บาท จึงแก้บนด้วยการหว่านเงินและซื้อของแจกดังกล่าว อยากให้แม่มีส่วนร่วมในการทำบุญ จึงมือหนักไปหน่อย

 

การออกมาสารภาพของนายปุ่งต่อหน้าแม่ พร้อมกับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุด 2 ใบจำนวน 3 ชุด มามอบให้แม่ โดยกระซิบบอกแม่ว่า”ได้เลขเด็ดจากท้าวสุวรรณนาคราช” ทำให้นางสมหวัง มีความรู้สึกต่างจากเดิมที่เงินหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

นางสมหวัง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่ผ่านมาให้ผ่านไป”เงินที่หายไปคิดว่าฝันร้าย แต่ยังมีโอกาสที่ลูกมอบของดีให้คือลอตเตอรี่จำนวน 3 ชุด อาจจะถูกรางวัลใหญ่รับ 12 ล้าน ทดแทนความสูญเสียที่ผ่านมาได้

 

 

ล่าสุดวันที่ 10 พ.ค.65 พนักงานสอบสวน สภ.สตึก ได้แจ้งข้อหา นายวุฒิศักดิ์ แล้วฐาน “ลักทรัพย์เอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเบิกถอนเงินอัตโนมัติหรือ เอทีเอ็ม) ของผู้เสียหายไปใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชี” พร้อมทั้งสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อประกอบสำนวนคดี โดย นายวุฒิศักดิ์ ยอมรับสารภาพว่า ได้ขโมยบัตรเอทีเอ็มของแม่ไปถอนเงินจริง โดยถอนครั้งละประมาณ 10,000 – 20,000 บาท รวมหลายครั้ง เป็นเงินทั้งหมดเกือบ 300,000 บาท แล้วนำไปโปรยแจกที่ตลาด และซื้อของแจกให้กับชาวบ้านด้วย โดยอ้างว่าเพราะอยากทำบุญให้กับพ่อที่เสียชีวิต ไม่คิดว่าการทำแบบนี้จะมีความผิด ซึ่งหลังแจ้งข้อกล่าวหาพนักงานสอบสวนก็ได้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

 

ด้าน นางสมหวัง ยอมรับว่า ที่ผ่านมาลูกชายเคยแอบขโมยเงินของตนเองหลายครั้งๆ ละประมาณ 1,000 – 2,000 บาท ซึ่งตนเห็นว่าไม่ได้มากจึงไม่ได้คิดอะไร ก็แค่ตักเตือนว่าอย่าทำแบบนี้ แต่ล่าสุดถึงขั้นขโมยบัตรเอทีเอ็มไปแอบกดเงินมากถึงเกือบ 3 แสน แล้วนำไปโปรยแจกและซื้อของแจกคนอื่น จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจเพราะอยากให้ช่วยติดตามเงินที่ลูกนำไปแจกกลับคืน

 

แต่ก็ไม่อยากให้ดำเนินคดีกับลูกเพราะถึงแม้จะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ก็รับมาเลี้ยงตั้งแต่อายุเพียง 1 เดือน ก็รักเหมือนลูกแท้ๆ เพราะตนกับสามีไม่มีลูก และหลังสามีเสียชีวิตก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่ 2 คน หากลูกจะถูกดำเนินคดีก็เป็นห่วงและสงสาร แต่ก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนี้อีก ส่วนเงินที่มีคนเก็บเอาไปตอนนี้ได้นำมาส่งคืนให้แล้ว 2,900 บาท ส่วนที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือไม่

 

ทางด้านป้าแมว แม่ค้าในตลาดสด บอกว่า วันที่มีคนนำเงินมาโปรยในตลาด ตนยังไม่ได้ออกมาขายของ เพราะวันนี้ออกมาประมาณตี 4 แต่เท่าที่แม่ค้าเล่าให้ฟังบอกว่าเขามาโปรยแจกตอนประมาณตี 3 ก็มีทั้งแบงค์ 100 , 500 และ 1,000 ซึ่งคนที่เก็บเอาไปก็คิดว่าเขาเอามาโปรยแจกก็เก็บ แต่ไม่ได้คิดว่าเงินที่เอามาโปรยแจกนั้นได้มาจากไหน กระทั่งมาทราบภายหลังตอนที่เจ้าหน้าที่มาบอกว่าเป็นเงินที่ลูกขโมยของแม่มาแจก หากใครเก็บได้ก็ให้นำไปคืน ซึ่งส่วนตัวหากเป็นคนเก็บไปแล้วรู้ความจริงก็จะเอามาคืน เพราะสงสารคนเป็นแม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคนว่าจะนำมาคืนหรือไม่

 

ขณะที่ พ.ต.อ.วชิรวิทย์ วรรณธานี ผกก.สภ.สตึก ก็ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อดูว่าใครที่เป็นคนเก็บเงินไปบ้าง พร้อมทั้งขอประชาสัมพันธ์ให้คนที่รู้ตัวว่าเก็บเงินไปให้นำมาส่งคืนไว้ที่ สภ.สตึก ก็มอบให้กับผู้เสียหายคืน แต่หากใครไม่นำมาคืนแล้วมีภาพหลักฐานปรากฎก็จะเข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร

 

 

 

ขอบคุณ ข่าวสด/sanook.com