โปรเจกต์สุดพิเศษ HANGOVER “เชียงดาว Nature Reconnect” “ย้ง ทรงยศ”กับ “อัด อวัช”พาดื่มด่ำท่องเที่ยวธรรมชาติเชิงอนุรักษ์
นาดาว บางกอก ร่วมกับ ภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เปิดโปรเจกต์สุดพิเศษ HANGOVER “เชียงดาว Nature Reconnect” โดยมี ต่อ-ธนภพ ขอนำทีม อัด-อวัช, กันต์-ชุณหวัตร และ เบลล์-เขมิศรา ครั้งแรกในชีวิตกับการขึ้นดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมทริปศึกษาธรรมชาติที่ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับเส้นทางสุดทรหด การเดินเท้าเข้าป่า กับระยะทาง 8.5 กิโลเมตร ทั้งโหด ทั้งชัน ท่ามกลางไอหมอก
อากาศที่หนาวเย็น และวิวที่สวยงามตระการตา
ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ โปรดิวเซอร์รายการเล่าถึงโปรเจกต์นี้ให้ฟังว่า “ จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้มาจากการที่ภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว เขาชวนต่อ-ธนภพ ไปเป็น Influencerในการทำให้คนรู้จักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ครับ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อยากบอกว่ามันคือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ก็เลยอยากมีคอนเซ็ปต์ในการพูดก็คือว่าเหมือนการกลับไปหาธรรมชาติการกลับไปจุดเริ่มต้นของพวกเรา มันคือ Nature Reconnect จริงๆ เราเกิดมาจากสิ่งนั้นแหละครับ คือสิ่งที่ภาคีเรารักดอยหลวงเชียงดาว ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เนี่ยมันอาจจะบอกได้หลายวิธีสิ่งที่น่าสนใจคือเขาอยากให้เราช่วยนำเสนอในประเด็นที่ว่าตอนที่เราเกิดมาเราก็เกิดมาจากธรรมชาติเนี่ยแหละ จริงๆ การไปเที่ยวธรรมชาติก็คือการกลับไปหาธรรมชาติแบบกลับไปหาจุดเริ่มต้นของพวกเราแหละ
ตอนเด็ก ๆ ก่อนที่เราจะมีของเล่นเป็นพลาสติกหรืออะไรก็ตามเราก็เล่นดินเขี่ยดินเขี่ยทราย เราเดินเท้าเปล่า เล่นน้ำ เหยียบน้ำฝนมันคือก่อนที่เราจะมาใส่รองเท้า ก่อนที่เราจะมาเล่นของเล่นหรือมีชีวิตที่มันมี Gadget อะไรต่างๆ Nature Reconnect คือการพาเรากลับไปสู่ตัวตนของเราจริงๆ พอฟังคอนเซ็ปต์ไอเดียของเขาแล้วน่าสนใจมันเหมือนว่าเขาจะพาเรากลับไปในธรรมชาติแล้วลองเดินเท้าเปล่าดูพอเรากลับไป Reconnect กับธรรมชาติ กับพื้นดินมันจริงๆ แล้วเรารู้สึกอะไร จริง ๆ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่แตกต่างเราแค่ไม่คุ้นเคยกับมัน แต่จุดเริ่มต้นเราเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน การใช้วิธีการนี้ในการสื่อสารก็อาจจะทำให้เราเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นหรืออยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบไม่เอาเปรียบธรรมชาติ
เราไปในพื้นที่ของคนอื่นแล้วเราไม่ใช่เจ้าของ เราควรเข้าไปแบบเคารพและให้เกียรติ ช่วยดูแล โปรเจกต์นี้มันก็คือ HangOver แบบเดิม ในเรื่องการดำเนินเรื่อง คือตามน้อง ๆ กลุ่มนี้ตามการเดินทางนั้นไปเรื่อย ๆ ออกจากกรุงเทพ ไปสนามบินไปยังพื้นที่ตรงหมู่บ้านตรงเชิงดอยเชียงดาว เราทำความเข้าใจพื้นที่เชิงดอยก่อนแล้วมันก็จะถึงวันที่เราเดินทางขึ้นดอย จนกระทั่งเราเดินทางลงกลับมา” มีอะไรที่มันต่างจาก HangOver ครั้งที่ผ่าน ๆมา “ถ้าเปรียบเทียบกับ HangOver ครั้งก่อนๆ มันเป็นเรื่องว่าทุกครั้งที่เวลาเราทำ พวกผมก็จะแบบต้องได้ว่ะ ๆ เราต้องเอาสิ่งนั้นมาให้ได้
มันเหมือนเราทำรายการเราก็อยากได้สิ่งที่พอไปถึงที่นั่นแล้วได้สิ่งเราควรเห็น หรือควรเจอมาฝากคนดู คือวันขึ้นดอยฝนตกเมฆหมอกเต็มไปหมดไม่เห็นวิวข้างทาง ส่วนตัวผมเองผมกลับรู้สึกว่าไม่ได้รู้สึกว่าต้องได้หรือเสียดายหรือรู้สึกหงุดหงิดกับความที่เราโชคไม่ดีแบบนั้นเหมือนครั้งก่อนๆ แต่รู้สึกดี หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวิธีการของทีมภาคีฯ เขาพยายามทำให้เรา Connect กับ Nature ได้จริงๆ วันที่เราไปวันแรกเราไปถึงแล้วเราก็อยู่ด้านล่างก่อนนะครับแล้วเขาก็พาเราเดินเอาเท้าสัมผัสดิน พาเรากลับไป Reconnect กับธรรมชาติก่อน ผมว่าอันนี้มันทำให้เราตัวเล็กลง
ทำให้เรารู้สึกกับธรรมชาติง่ายขึ้น ไม่คาดหวังกับมันมากเกินไปสิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้มันคืออะไรเราก็สามารถ Appreciate กับมันได้ในการที่มันเป็นแบบนี้อย่างในอดีตพอเราคิดว่าขึ้นดอยเราก็อยากเห็นวิวเราก็อยากเห็นทะเลหมอก แต่พอวันนี้เราขึ้นไปปรากฏว่าฝนตกหมอกมันบังวิวทั้งหมดเราก็รู้สึกว่ามันก็มีความงามในแบบของมันนะ หมายถึงว่าป่าตอนฝนตกมันสวยในแบบของในอยู่นะ ทำให้เรามองเห็นความงามง่ายๆ แค่เราเอาเท้าสัมผัสดินเราก็รู้สึกอะไรบางอย่าง แค่ใบไม้ริมข้างทางหรือแมลง หรือแม้กระทั่งดอกไม้ ธรรมดา แต่มันอาจจะเป็นดอกไม้เฉพาะถิ่นที่ มันมีความหมายยังไงผมว่าสิ่งเหล่านี้มันมีความหมายหมดเลยครับ
แล้วมันก็มีจังหวะที่พอแดดมันเปิดฟ้ามันโล่งก็ได้เห็นยอดเขาคือรู้สึกว่าธรรมชาติไม่ว่าเราจะเจอมันในรูปแบบไหน จริงๆ เราควบคุมมันไม่ได้ สเน่ห์ของธรรมชาติก็คือเราควบคุมมันไม่ได้นั้นมันเป็นโอกาสที่เราจะได้ Appreciate ความงามที่แตกต่างกันไปในจังหวะนี้ที่เราเดินทางไปเราก็แค่ซาบซึ้งดื่มด่ำกับมันในแบบที่มันเป็นอยู่ เมื่อไหร่ผมยกกล้องขึ้นมาแล้วผมปรับเป็นโหมด Macro แล้วซูมถ่ายเห็ดแล้วมันก็จะมีตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นเต็มไป เมื่อไหร่ที่เรามอง มันก็เป็นแค่ป่ามันก็เป็นแค่ต้นไม้ มันก็เป็นแค่ดิน มันก็เป็นแค่ขอนไม้ แต่เมื่อเรามองลงไปที่ดีเทลก็จะเห็นว่าดอกไม้ดอกนั้นมันเป็นดอกไม้ แต่ถ้ามองลงไปดี ๆ เราก็รู้ว่าเราจะต้องซึมซับอะไรจากมันครับ เราในฐานะมนุษย์คนนึงกลับไปอยู่ในธรรมชาติ เช่น การขึ้นดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้เราไม่มีการขึ้นไปทำอาหารบนดอยทานกัน เราค้างคืน เราเตรียมอาหารขึ้นไปครับเป็นข้าวกล่อง ไม่ไปจุดไฟ ก่อฟืนมันคือการเข้าไปยังพื้นที่แบบที่เราเข้าไปกลมกลืนกับธรรมชาติที่สุด”
อวัช ผู้กำกับ และ 1 ในทีมผู้ร่วมรายการเผยความรู้สึกในการทำโปรเจกต์สุดพิเศษ HANGOVER “เชียงดาว Nature Reconnect” ว่า “2 ปีก่อน มันเกิดไฟป่ารุนแรงทำให้เขาต้องปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอย หลวงเชียงดาวไป ปีนี้ธรรมชาติมันก็เริ่มสมบูรณ์มากขึ้นเขาก็สามารถเปิดกลับมาให้คนเข้าไปศึกษาธรรมชาติได้อีกครั้ง ภาคีฯ เขาติดต่อทางนาดาวว่าอยากให้พี่ต่อมาเป็นคนเล่าเรื่องและพอพี่ย้งทราบ ก็เลยเสนอภาคีฯ ว่าทางนาดาวอยากจะมาช่วยทำโปรดักชันให้ พี่ย้งเองก็ เฮ้ย ถ้ามันโปรเจกต์ธรรมชาติจริง ๆ เนี่ย เหมือนเราทำเป็นรายการท่องเที่ยวไหมเพื่อให้มันเข้าถึงคนเข้าใจมันได้มากกว่าการเป็นแค่หนังสั้นภาพสวย เป็นนักแสดงนาดาวนี่แหละครับที่มีความสนใจในการท่องเที่ยว
ชื่นชอบธรรมชาติ เพื่อทำให้เกิดเคมีใหม่แล้วก็ทำให้มันดูมีความเป็นกันเองแล้วมันก็เลกลายเป็นว่าพอพี่ต่อเป็นโจทย์ตั้ง หลังจากนั้นก็คือพี่ย้งเสนอให้ผมเห็นว่าผมเคยทำ Hangover เหมือนชวนกลับมาทำเหมือนให้รับผิดชอบในการกำกับไปด้วย ก่อนที่จะเริ่มทำเราก็จะต้องมีประชุมกับทางภาคีฯ นั่งคุยกับเขาว่าเขาอยากให้เราเล่าอะไรบ้าง ก็มีพี่กันต์ที่ก็เคยทำ HangOver แล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างเป็นสีสัน มีความตลกมีสเน่ห์อะไรอย่างนี้ให้มาอยู่ด้วยกัน รวมไปถึงเบลล์ก็เป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวที่ช่วยมาเบสความเลี่ยนของชายหนุ่มทั้งสาม ให้มันดูผ่อนคลายขึ้น ดูรีแลกซ์ ขึ้นครับ”
Hangover เชียงดาว นำเสนอและเล่าเรื่องอะไรบ้าง “หลักๆ แล้วเราอยากเล่าให้เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติที่เชียงดาวและให้คนมองเห็นความสำคัญของธรรมชาติจากเชียงดาวไปสู่ทุกๆ ที่เรารู้สึกว่าเราอยากทำวิดีโอที่ไม่ใช่แค่รายการท่องเที่ยวครับสำหรับ
Hangover ทริปนี้เรามองว่ามันคือทริปของการศึกษาธรรมชาติและเราอยากส่งต่อเมสเสจว่าจริง ๆ แล้วเราอยากให้ทุกคนไปเที่ยวแบบเราไปที่ของเขาเราก็ควรที่จะช่วยกันดูแลคือมันจะเน้นเรื่องของทำให้คนเห็นความสำคัญของธรรมชาติในแบบที่ไม่ได้ Force เขาเกินไป ทำให้เขาเห็นว่าจริง ๆ แล้วธรรมชาติมีความสำคัญยังไงบ้างและเหตุผลอะไรที่เราควรที่จะต้องดูแลเขาประมาณนี้ครับ มีทั้งหมด 5 EP ครับ และแต่ละ EP แต่ละคลิปก็จะแบ่งเป็นตอน ๆ ตามโครง ตามระยะเวลาด้วยอะครับ”
ระยะเวลาในการขึ้นดอยใช้เวลาประมาณกี่ชั่วโมง อวัช “ช่วงที่เดินขึ้นดอยหลวงมันระยะทางขึ้นไป 8.5 กิโลเมตรครับ ระยะเวลาที่ใช้ก็ประมาณ 6-7 ชั่วโมงครับจากนั้นก็เก็บข้าวเก็บของเตรียมเต็นท์แล้วก็ขึ้นไปบนดอยเพื่อขึ้นไปบนยอดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก เป็น 45 นาทีที่โหดมาก มันชันและเป็นหิน แค่เราเดินอยู่ในป่าสั้น ๆ 3 ชั่วโมง ผมรู้สึกว่าเนื้อหามันเยอะไปหมดเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเราโตขึ้นด้วย และเรามีมุมมองที่มันกว้างขึ้นกว่าการแค่คิดว่าความสวยงามมันจำกัดอยู่ในรูปแบบเดียว การได้มาเจอกับพี่ ๆ เขาก็ทำให้เรามองเห็นความสวยงามของธรรมชาติในอีกมิตินึงด้วยเหมือนกันครับ เรารู้สึกว่าทุกคนที่ร่วมทริปมันเอ็นจอยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตรงหน้าผมว่ามันเลยแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ครับ แล้วก็สามารถ Appreciate จากความสวยงามที่มันไม่ได้เป็น Stereotype ที่เราเคยบอกว่าต้องเห็นพระอาทิตย์ตกเท่านั้นถึงจะเป็นความสวยงาม
แต่จริง ๆ แล้วความสวยงามมันแทรกอยู่ระหว่างทางเต็มไปหมดครับ เราไม่เห็นพระอาทิตย์ตกไม่เป็นไรครับ เพราะว่ามันเหมือนระหว่างทางอย่างที่พี่ย้งพูดว่าข้างทางมันสวยมันเหมือนมันเติมไปเรื่อย ๆ มันแตกต่างจากการเดินป่า หรือเขาที่ผ่านๆ มาของบางที่ที่ระหว่างทางมันก็คือเดินไปเลยมันไม่ได้มีอะไรให้ Appreciate มาก ของที่นี่สวยตลอดทาง” การเดินทางครั้งนี้มันทำให้เราเรียนรู้อะไรบ้าง “ผมรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเราได้กลับไปอยู่กับธรรมชาติจริงๆ มันคือการที่เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ทบทวนอะไรหลายๆ อย่างกับตัวเอง แล้วมันก็ทำให้คิดปัญหาหลาย ๆ อย่างที่เราเจอแล้วมันก็เป็นการเรียนรู้กับตัวเองในรูปแบบนึง ที่ทำให้เราสงบขึ้น
และมันก็เป็นการเตือนว่าเดี๋ยวปัญหาในชีวิตเข้ามาแล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แล้วเดี๋ยวมันก็จะเกิดขึ้นมาอีก ทำให้เราทบทวนกับวิธีการคิดวิธีการใช้ชีวิตของเรา รวมไปถึงการได้เรียนรู้ความสำคัญของธรรมชาติในแบบที่มันลึกขึ้นกว่าสิ่งที่เราเคยเข้าใจมันก็กลายเป็นว่าพอเราจบทริปเรารู้สึกว่าเราเห็นค่าและอยากช่วยดูแลมันครับ”
อยากให้ฝากถึง HangOver ดอยหลวงเชียงดาวหน่อยมีความน่าสนใจ ความน่าติดตามยังไงบ้าง “สำหรับ HangOver ครั้งนี้นะครับ สำหรับผมรู้สึกว่ามันแตกต่าง ทั้งในเรื่องของรูปแบบทริปมันเป็นในเชิงที่เราไปเที่ยวแบบดูแลรักษาธรรมชาติจริง ๆ เราได้ไปศึกษาธรรมชาติด้วยไม่ใช่แค่การไปท่องเที่ยวเฉยๆ ที่แรกก็กังวลเหมือนกันครับ เพราะว่ามันมีความเป็นนามธรรมค่อนข้างสูงในเรื่องของการอธิบายความรู้สึก แต่ว่าพอมาทำจริง ๆ ภาพต่างๆ มันก็ส่งเสริมการเล่าเรื่องตรงนี้ให้มันทำให้สิ่งที่มันดูอาจจะนามธรรมมากๆ คนน่าจะพอเข้าใจได้ ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมเชื่อว่าภาพแล้วก็สิ่งที่เราเล่ามันจะทำให้เขาอยากจะลองไปสัมผัสด้วยตัวเองครับ”
ระยะทางที่ดูแสนไกล แต่ทำไมดูใกล้กับความสุขร่วมหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ กับ โปรเจกต์สุดพิเศษ HANGOVER “เชียงดาว Nature Reconnect” รอติดตามชมได้ทุกวันเสาร์ เวลา 10.30 น. ที่ Youtube Nadao Bangkok
ขอขอบคุณ : นาดาว บางกอก