เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 4 กรกฎาคม 2563 มีรายงานว่า นาธาน โอมาน หรือ นายสุธัญ โอมานันท์ อดีตศิลปินชื่อดังค่ายอาร์เอส วัย 45 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร หลังเข้ารับการรักษาตัวเนื่องจากอาการป่วยด้วยโรคโลหิตจาง ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โดยทางญาติเตรียมเคลื่อนร่างของนาธาน ไปประกอบพิธีตามหลักศาสนาอิสลาม ที่มัสยิด ในเขตทุ่งครุ กทม.
สำหรับ นาธาน โอมาน เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2518 เป็นบุตรของนายธัญญา และนางอุทัยวรรณ นาธานมีน้องสาวร่วมบิดามารดา 1 คน ชื่อเล่น น็อต นาธาน มีชื่อโดยกำเนิดว่า ธัญญวัฒน์ หยุ่นตระกูล สำเร็จชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนดรุณศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช และเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนทุ่งสง ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน[4] เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นาธานก็ได้หนีไปใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาที่วิทยาลัยเพาะช่าง 2 ปี แล้วต่อปริญญาตรีศิลปศาสตร์ คณะครุศาสตร์ (เอกศิลปะ) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
นาธาน เข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการถ่ายแฟชั่นนิตยสารอย่างอิมเมจ ลิปส์ ป๊อบทีน จากนั้นก้าวมาเป็นศิลปินนักร้องค่ายอาร์เอส มีอัลบั้มแรกในสไตล์ป็อปร็อกที่ชื่อ Nathan ต่อมาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งจากหนังสือพิมพ์และทางโทรทัศน์ที่เชิญไปสัมภาษณ์เหตุการณ์รอดชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ หลังจากนั้น 2 ปีออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 2 คือ สิ่งที่เรียกว่าหัวใจ ที่มีแนวดนตรีได้กลิ่นอายของเนปาล รวมถึงในมิวสิกวิดีโอด้วยเช่นกัน
จากนั้นได้เปิดบริษัททำทัวร์ไปเที่ยวประเทศเนปาล และออกผลงานเขียนหนังสือเรื่อง ผมมันเด็กหลังเขา (หิมาลัย) และ โลกนี้ไม่เหงาแล้ว (Not A Lonely Planet)
กรณีพิพาท : การแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ในกลางปี พ.ศ. 2551 นาธานเริ่มให้สัมภาษณ์ว่า ได้แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Prince Of Red Shoe ของบริษัทบิกบลู ในเครือค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟอกซ์ ซึ่งมี วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน และ มูฮำหมัดซูอัต เป็นผู้กำกับ โดยแสดงร่วมกับดาราดังอย่าง บรูซ วิลลิส และ คริสติน่า ริชชี่ ถ่ายทำในหลายที่ เช่น ประเทศจอร์แดน, อิหร่าน, โอมาน และหลาย ๆ เมืองในแถบตะวันออกกลาง
ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกครั้งในอีกราวหนึ่งปีต่อมาจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง แต่เมื่อมีการสืบค้นข้อมูล ทั้งจากเว็บไซต์ IMDb ทวิตเตอร์ของนักแสดงที่นาธานอ้างถึง ตลอดจนหลักฐานอื่น ๆ กลับไม่มีสิ่งยืนยันว่านาธานแสดงภาพยนตร์ตามที่กล่าวอ้าง จึงได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงในอินเทอร์เน็ตว่านาธานพูดโกหกหรือไม่ และยังรวมถึงประวัติของนาธานที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ด้วย
หลังจากนั้นนาธาน กับผู้จัดการส่วนตัวได้ออกมายืนยันว่าไปถ่ายหนังของฮอลลีวูดในหลายประเทศแถบตะวันออกกลางจริง แต่เมื่อนักข่าวขอดูพาสปอร์ตกลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าไม่ได้เป็นนักโทษทำไมต้องให้ดู อีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเรื่องโกงอายุและเรื่องหลอกนักข่าวปลอมตัวเป็นอรัญ น้องชายของตัวเอง
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เปี๊ยก โมเดลลิ่ง ผู้ที่ถ่ายภาพของนาธาน โอมานที่ถูกนำมาเสนอว่าเป็นภาพถ่ายจากภาพยนตร์ The Prince Of Red Shoe ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะข่าวเด่น ว่าภาพเหล่านั้นไม่ใช่ภาพจากกองถ่ายที่โอมาน แต่เป็นภาพที่เจ้าตัวเป็นผู้ถ่ายเองและกล่าวว่าถูกหลอกให้แต่งหน้าและถ่ายรูปที่ออกแบบโดยนาธาน จึงออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อความบริสุทธิ์ใจ
ต่อมา 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์กับรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย เขายอมรับว่าเขากุเรื่องในการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดของตน โดยอ้างว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะผู้สนับสนุนตนในวงการบันเทิง ต้องการสร้างตัวตนของตนให้เป็นแบบนั้น ให้มีชีวิตที่น่าทึ่ง เป็นเด็กอัจฉริยะสามารถพูดได้หลายภาษา เป็นต้น
กรณีฉ้อโกงเงิน
ปลายเดือนกรกฎาคม 2552 จามจุรี จูลี่ แคสเชอร์ (เจเจ) ดีเจคลื่นอีซี เวอร์จิ้นเรดิโอ หุ้นส่วนร้าน Jamaree Yak Cafe Gallery เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนาธานในข้อหาฉ้อโกงเงินหุ้นส่วนร้านอาหาร และยังออกพูดถึงพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล หลังถูกข้อกล่าวหาทั้ง 2 กรณีจึงออกมาแถลงข่าวว่า ได้จ่ายเงินไปแล้วพร้อมนำสลิปบัตรเครดิตมาโชว์เป็นหลักฐาน และกล่าวว่าจะฟ้องกลับ
เดือนพฤศจิกายน 2552 อดีตแม่บ้านของนาธาน พร้อมด้วยอาทิตย์ กุลฝ้าย ลูกชาย ได้เข้าแจ้งความอดีตนักร้องหนุ่มในข้อหาฉ้อโกงเงินกว่า 3 แสนบาท ทั้งยังนำตรายาง ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การท่องเที่ยวเนปาล โรงแรมชื่อดัง รวมถึงบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ที่เป็นของนาธานเพื่อตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐาน
ต่อมา “แหม่ม พิศมัย” แม่บุญธรรม ออกมาปฏิเสธถึงข้อกล่าวหาดังกล่าวผ่านทางรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ทั้งนี้ทางรายการยังได้ต่อสายโทรศัพท์ถึงนาธานเพื่อชี้แจงเรื่องต่าง ๆ นาธานปฏิเสธในทุกเรื่อง โดยระบุว่า รู้จักพี่เลี้ยงคนดังกล่าวเพียง 2 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ส่วนเรื่องตรายางไม่ใช่ของตน มีเพียงบริษัททัวร์ของนาธานอันเดียว
หลังจากนั้นทางฝ่ายอดีตแม่บ้านนาธานเข้าแจ้งความ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ออกหมายเรียกนายนาธานแต่ไม่สามารถติดต่อได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบว่านาธานหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่ อ.เชียงคาน จ.เลย จึงเข้าจับกุมนายนาธาน แต่นาธานได้รับประกันตัวออกไปในวันรุ่งขึ้น
นางฉลอง จันทร์นาค ยายของ น.ส. เสาวนีย์ ฤทธิโชติ อายุ 27 ปี หรือน้องอ้อม ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งตกสะเก็ด หรือ “เด็กดักแด้” ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 ออกมาเปิดเผยว่านาธาน โอมาน ยืมเงินไปรวมกว่าแสนบาททั้งจากยายและน้องอ้อม พร้อมกล่าวสาเหตุการขอยืมเงินว่า “ถูกเพื่อนที่ร่วมทำกิจกรรมบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยสึนามิโกงเงิน” และยังต่อว่าเรื่องที่นาธานไม่ยอมมาร่วมงานศพน้องอ้อมโดยอ้างว่าร่วมงานไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเท
ต่อมา สราวุธ มาตรทองออกมาชี้แจงหลังจากถูกพาดพิงว่า เงินทุกบาทที่รับบริจาคช่วยเหลือชาวมอแกนจากเหตุการณ์สึนามินั้นได้นำไปให้ชาวมอแกนหมดแล้ว
กลางเดือนพฤศจิกายน ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง อดีตนักร้องสังกัดอาร์เอส ออกมาเปิดโปงว่านาธานหลอกลวงเงินนางนันทพร พรายแสง น้าแท้ ๆ ของตนไปร่วมสามแสนบาท ซึ่งนาธานก็บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ซึ่งไม่นานนางดำ จารุวรรณ พรายแสง แม่ของปุ๊กกี้ก็ออกมาเปิดเผยหลายเรื่องที่นาธานโกหก และสาเหตุที่น้องสาวแท้ ๆ เชื่อ เพราะนาธานอ้างว่าถ้าได้เงินจากการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดจะซื้อบ้านราคา 10 ล้าน และรถเบนซ์ให้
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553 ที่ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ นางสมาน สุขเสริม อดีตแม่บ้านนาธาน โอมาน กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยคดีฉ้อโกงที่นาธานได้นำโฉนดที่ดินของตนไปจำนองได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยนาธานได้ชำระหนี้ก้อนแรกเป็นเช็คจำนวน 3.4 แสนบาท ส่วนที่เหลือนาธานได้เจรจาขอลดหย่อน ซึ่งนางสมานยอมลดหนี้จาก 7.4 แสนเหลือแค่ 5.4 แสนบาท แต่นาธานขอต่อรองลดหย่อนอีก จนนางสมานยอมลดให้เหลือ 4.4 แสนบาท โดยที่เหลืออีก 1 แสนยินดีให้เวลานาธาน 1 ปีหามาชดใช้
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ได้นำเสนอกรณีนายนาธาน โอร์มาน ในขณะที่ พิศมัย ศรีกระบุตร หรือ ครูแหม่ม ทำการช่วยเหลือรับอุปการะนาธาน โอร์มาน ว่า นายนาธาน ได้ใช้ความสนิทสนมกับ นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้ของครูแหม่ม ให้นำที่ดินของน้ามด ไปจำนอง เพื่อให้ได้เงินมาใช้ในการซื้อรถ “เชฟโรเลต แคปติวา” โดยที่นาธานได้อ้างว่าเพื่อซื้อมาขับให้ชินมือ เพราะตนได้รับการคัดเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ของรถยี่ห้อดังกล่าวด้วยค่าตัวจำนวน 9 แสนบาท และเมื่อได้เงินค่าตัวแล้วจะนำเงินมาใช้คืนให้
นอกจากนี้ นาธาน ยังได้เอาเงินจำนวน 3 หมื่นบาท จากแม่ของครูแหม่ม ด้วยคำอ้างที่ว่าจะใช้เป็นค่าเสื้อผ้าในการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับงานหนึ่ง โดยให้แม่ของครูแหม่ม นำวัวที่มีทั้งหมดไปขาย แต่ภายหลังทางผู้จัดได้โทรมายกเลิก เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ศาลจังหวัดเลย พิจารณาคดีที่นางสิทธิพร โคตรอุดมพร หรือ น้ามด แจ้งความดำเนินคดีกับนาธาน โดยพนักงานอัยการเป็นโจทย์บรรยายคำฟ้องสรุปว่า จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหาย แต่จำเลยได้ปฏิเสธและจะหาทนายเอง ซึ่งศาลได้กำหนดนัดพร้อม ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 08.00 นาฬิกา
ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน ศาลจังหวัดเลยยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่ามูลค่าความเสียหายที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายไป ป็นเงินจำนวนกว่า 7 แสนบาท หากจำเลยประสงค์จะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ให้หาหลักประกันมายื่นต่อศาลต่อไป
จากนั้นศาลได้นำตัวนาธานจำเลยกับนางสิทธิพรผู้เสียหาย เข้าห้องไกล่เกลี่ยคดี โดยมีผู้พิพากษาศาลหัวหน้าศาลจังหวัดเลยทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ย เบื้องต้นจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดี ไม่ประสงค์จะไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย ศาลเลยนำตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อรอการยื่นขอประกันตัว หลังจากนาธานไม่ยอมไกล่เกลี่ยกับน้ามด และพยายามติดต่อกับคนรู้จัก เพื่อให้มาประกันตัว แต่ไม่สามารถติดต่อหรือหาใครมาประกันตัวได้ จนหมดเวลาทำการของศาล เจ้าหน้าที่เลยคุมตัวนาธานขึ้นรถ ไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดเลยต่อไป
ศาลจังหวัดเลยได้ตัดสินให้นาธาน จำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เจ้าตัวรับสารภาพ จึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินน้ามดทั้งหมด ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ จึงพ้นโทษเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554
ข้อสงสัยเรื่องชาติกำเนิด
นาธานอ้างว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งเนปาลกับไทย โดยมีพ่อเป็นนักธุรกิจค้าขายอัญมณีจำพวกหินสีชาวเนปาล แม่เป็นคนไทยเชื้อสายโอมาน เกิดที่เมืองปาฏัน มีฐานะทางครอบครัวในระดับที่มั่นคง โดยออกจากเนปาลมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีความสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษา คือ ภาษาไทย, เนปาล, อาหรับ, ฝรั่งเศส และรัสเซีย อีกทั้งยังเคยใช้ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคยเป็นลูกเรือประมงที่จังหวัดภูเก็ต หรือเคยเผชิญหน้ากับขบวนการค้ามนุษย์ที่ชายแดนกัมพูชามาแล้ว
ซึ่งรายการโต๊ะข่าวบันเทิง ของช่อง 3 รายงานว่า “นาธานมีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่อิสลามอย่างที่เคยกล่าว มีชื่อเดิมว่า ธัญวัฒน์ หยุ่นตระกูล เป็นบุตรชายของนายธัญญา หยุ่นตระกูล มีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ไม่ได้เป็นคนเนปาล อาศัยอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก”
โดยทางทีมนักข่าวสอบถามกับนายธัญญา ที่เชื่อว่าเป็นบิดา แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ บอกแต่เพียงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาธาน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามกับเพื่อนบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่านายธัญญาเป็นพ่อของนาธาน ซึ่งนาธานเคยมาหาพ่อบ้างแต่ไม่บ่อย
และต่อมาอดีตแม่บ้านของนาธานนำสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของนาธานมาแสดงให้เห็นว่าเขามีสัญชาติไทยแท้ ไม่ใช่ลูกครึ่งเนปาลตามที่กล่าวอ้าง แต่เมื่อพิธีกรพยายามจี้ถามถึงเรื่องของสัญชาติ นาธานก็ได้ตัดสายโทรศัพท์ไปทันที
ในการบันทึกเทปสัมภาษณ์รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 นาธานเปิดเผยว่า พูด 5 ภาษาตามที่เคยกล่าวอ้างไม่ได้ และกล่าวว่า ตนเป็นคนโกหกลวงโลกตั้งแต่เข้าวงการมา โดยมีผู้มีพระคุณ 5-6 คน คอยบอกให้เป็นแบบนั้น จัดวางว่าจะต้องเป็นลูกครึ่งที่พูดได้ 5 ภาษา และวิเคราะห์ตนเองว่า ตัวเองเป็น คนที่ต้องการความรัก ต้องการความอบอุ่น กลัวว่าคนจะไม่รัก เลยต้องจำใจโกหกตามที่ผู้มีพระคุณได้วางหมากเอาไว้ และเข้าใจว่า คนทั่วไปชอบเรื่องโกหก เวลาที่พูดความจริงจะไม่เคยเชื่อ แต่พอโกหกทุกคนเชื่อกัน จึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเรื่อยมา
ข้อมูลจาก wikipedia