สำหรับใครที่อยากชาร์ตแบตให้ร่างด้วยการพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และพันธุ์ไม้นานาชนิด ไปสูดออกซิเจนให้เต็มปอด ปลดปล่อยความเครียดและความกังวล ให้ธรรมชาติบำบัด เราขอแนะนำ 7 ภูเขาน่าเที่ยวดังต่อไปนี้
1. ดอยเสมอดาว จังหวัดน่าน
เริ่มกันที่สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดน่านยอดนิยม เพราะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางไปเยือนตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เพราะมีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา เหมาะสำหรับการนอนเต็นท์พักผ่อน เพื่อชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และนอนดูดาว แถมอากาศยังเย็นสบายตลอดทั้งปี อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ ก็คือ การเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปยัง “ผาหัวสิงห์” ที่มีรูปร่างเหมือนสิงโตนอนหมอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านบนสุดของผาหัวสิงห์จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้แบบ 360 องศา
- ที่ตั้ง : อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตำบลศรีษะเกษ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
- รีวิว : 19 ข้อควรรู้ก่อนไปเที่ยวดอยเสมอดาว นอนดูดาวพราวฟ้า
2. ดอยผาตั้ง จังหวัดเชียงราย
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย เป็นที่ขึ้นชื่อสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในตอนเช้าและชมพระอาทิตย์ตกในเวลาเย็น จากยอดดอยสามารถมองเห็นแม่น้ำโขงฝั่งลาวและมองเห็นภูชี้ฟ้าที่อยู่ห่างออกไปกว่า 25 กิโลเมตรได้ชัดเจน ด้านบนมีทั้งลานกางเต็นท์ ร้านอาหาร และที่พักไว้คอยบริการ
- ที่ตั้ง : บ้านผาตั้ง ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย
- รีวิว : เที่ยวเชียงราย กับ 20 สถานที่แจ่ม ๆ สัมผัสความงามแห่งขุนเขา
3. ม่อนแจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ที่เที่ยวเชียงใหม่สุดฮอตฮิต สามารถเดินทางไปเยือนได้ตลอดทั้งปี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ไฮไลต์ของที่นี่ก็ต้องเป็นจุดชมวิวม่อนแจ่ม ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลราว ๆ 1,300 เมตร มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สามารถมองเห็นวิวโดยรอบได้อย่างสวยงาม มีเก้าอี้ ม้านั่ง ซุ้มไม้ไผ่ให้นั่งชมวิวชิล ๆ พร้อมกับมีสวนดอกไม้ แปลงผัก แปลงปลูกสตรอว์เบอร์รีให้ชมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเสมอ พร้อมกับมีบริการอาหารและเครื่องดื่มไว้รองรับครบครัน บริเวณใกล้ ๆ กับทางเข้าม่อนแจ่มก็มีเครื่องเล่นอย่างฟอร์มูล่าม้งให้ได้สนุกกันด้วย
- ที่ตั้ง : ส่วนหนึ่งของโครงการหลวงหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
- รีวิว : อิงขุนเขา โอบกอดฟ้า ณ ม่อนแจ่ม
4. เขาแผงม้า จังหวัดนครราชสีมา
หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาแผงม้า หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะคล้ายกับแผงคอม้าและมีสภาพป่าที่สมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและเหล่าฝูงกระทิงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามาศึกษาระบบนิเวศร่วมกันระหว่างคนและสัตว์ป่า นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปส่องฝูงกระทิงที่ออกมาหาอาหาร
- ที่ตั้ง : อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
- รีวิว : เขาแผงม้า กับ 9 เรื่องน่ารู้พิกัดเช็กอินฟิน ๆ กับฝูงกระทิงกลางป่าใหญ่
5. ภูลมโล จังหวัดเลย
ช่วงรอยต่อระหว่างปลายปีและต้นปี จะเป็นช่วงที่ “ภูลมโล” ขุนเขาที่ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด (พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย) จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังผลิดอกสีชมพูหวานบานสะพรั่งนับพัน ๆ ต้น ซึ่งถือเป็นแหล่งชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,664 เมตร ในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งปกติดอกนางพญาเสือโคร่งจะบานในช่วงเดือนมกราคม และบานเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ทางที่ดีควรโทรศัพท์สอบถามกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ทั้งนี้ ทางอุทยานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นไปเอง เพราะอาจเกิดอันตรายและไม่สะดวกในการท่องเที่ยว โดยจะมีจุดให้บริการนำเที่ยวภูลมโลหลัก ๆ อยู่ 2 แห่งคือ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประจำตำบลกกสะทอน
- ที่ตั้ง : ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
6. ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย
ยอดเขาสูงที่นักท่องเที่ยวจะได้ชมทะเลหมอกเหนือริมน้ำโขงสองฝั่งไทย-ลาว ในช่วงฤดูหนาวสามารถมองเห็นคลื่นหมอกกระทบกับภูเขาสองฝั่ง ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ในบรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ทำให้มีเวลาตักตวงความสุขจากธรรมชาติได้แบบเต็มที่ โดยการขึ้นมาเที่ยวชมจะต้องใช้บริการรถอีแต๊กของชาวบ้าน นั่งเพลิน ๆ ชมวิวสองฟากฝั่ง และด้านบนไม่อนุญาตให้ค้างคืน สามารถติดต่อผ่านการประสานงานและอำนวยความสะดวกจาก อบต.บ้านม่วง อำเภอสังคม
- ที่ตั้ง : ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย
- รีวิว : ภูห้วยอีสัน จ.หนองคาย อันซีนแดนอีสานสุดแซ่บ
7. หินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬ
เป็นจุดสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของภูสิงห์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปีที่สรรค์สร้างโดยธรรมชาติล้วน ๆ ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดยักษ์วางเรียงกัน 3 ก้อน ถ้ามองจากระยะไกลหรือมองจากภาพถ่ายทางอากาศ จะมีรูปร่างคล้ายวาฬพ่อ แม่ ลูก เรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน จึงเรียกกันว่า “หินสามวาฬ” นักท่องเที่ยวสามารถไปถ่ายรูปบนก้อนหินได้แต่ระวังลื่นล้มด้วยนะ ทั้งนี้ อนุญาตให้ขับรถกระบะขึ้นไปเที่ยวชมได้ ถ้าเป็นรถยนต์ขนาดเล็กแนะนำให้ใช้บริการรถกระบะของเจ้าหน้าที่หรือชาวบ้าน เพราะถนนขรุขระ บางช่วงต้องขับขึ้นเนินหินสูง
- ที่ตั้ง : อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ
- รีวิว : ชี้พิกัดจุดท่องเที่ยวบนภูสิงห์ บึงกาฬ พาตะลุยหินสามวาฬ ชมวิวสุดอลัง