เคสแปลก สาววัย 19 ปี มีลูกแฝดคนละพ่อ ผลตรวจ DNA ช็อกพบว่าไม่ตรงกัน กลายเป็นแฝดคนละพ่อ เหตุเพราะนอนกับผู้ชาย 2 คน ในวันเดียวกัน
วันที่ 7 กันยายน 2565 เว็บไซต์มิเรอร์ และนิวยอร์กโพสต์ เผยเรื่องราวชวนอึ้ง กรณีของหญิงสาวชาวบราซิลวัย 19 ปี ที่คลอดลูกฝาแฝดออกมา แต่ต่อมาก็เริ่มสังเกตถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ก่อนจะนำไปสู่การตรวจพิสูจน์ทางพันธุกรรม และผลที่ออกมาก็ทำให้เธอต้องช็อก เมื่อพบว่าเป็น “แฝดคนละพ่อ” โดยเหตุมาจากการที่เธอนอนกับผู้ชาย 2 คน ในวันเดียวกัน
หญิงสาว (ไม่เปิดเผยชื่อ) มาจากเมืองมิเนรอส ในรัฐโกยาส ของประเทศบราซิล ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เธอเผยว่า ภายหลังจากที่คลอดลูกออกมา ลูกแฝดของเธอดูคล้ายกันมาก จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 8 เดือน เธอก็เริ่มไม่แน่ใจและสงสัยว่าใครเป็นพ่อของเด็กที่แท้จริง เธอจึงตัดสินใจตรวจดีเอ็นเอของลูก กับผู้ชายที่เธอคิดว่าเป็นพ่อของเด็ก
แต่ปรากฏว่า ผลดีเอ็นเอของผู้ชายคนนี้ตรงกับลูกของเธอเพียงแค่คนเดียว นั่นทำให้เธอประหลาดใจมาก เธอจึงได้ทำการทดสอบอีกครั้งและผลก็ออกมาเช่นเดิม ตอนนี้เองที่เธอนึกขึ้นได้ว่า ในวันเดียวกันนั้น เธอมีเซ็กส์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งด้วย เธอจึงตัดสินใจเรียกเขามาตรวจดีเอ็นเอ และผลที่ออกมาก็ตอบทุกข้อสงสัย เขาคือพ่อของลูกอีกคนของเธอ
ปัจจุบันลูกแฝดของหญิงสาวรายนี้อายุ 16 เดือนแล้ว แต่เคสน่าตะลึงดังกล่าว เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดย ตูลิโอ จอร์จ ฟรังโก ผู้เป็นแพทย์ของเธอ โดยกล่าวว่า แฝดคู่นี้เกิดจากไข่คนละใบของแม่ ที่ได้รับการปฏิสนธิจากอสุจิของชาย 2 คน ทารกมีสารพันธุกรรมของแม่เหมือนกัน แต่เติบโตในรกที่ต่างกัน ถือเป็นเคสที่พบได้ยากมาก มีโอกาสเพียง 1 ในล้าน โดยทั่วโลกที่มีรายงานทางการแพทย์มีเพียง 20 เคส
ตามรายงานของหอสมุดแพทย์แห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว เรียกว่า Heteroparental Superfecundation สามารถเกิดขึ้นได้ภายหลังจากไข่ใบแรกปฏิสนธิกับเซลล์อสุจิไปแล้ว เกิดมีไข่ใบที่สองปล่อยออกมาในระหว่างรอบเดือนเดียวกัน และได้รับการปฏิสนธิอีกครั้ง โดยเซลล์อสุจิของชายคนอื่น ที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยกันครั้งใหม่
“ฉันรู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ พวกเขา (ลูกแฝด) คล้ายกันมาก” หญิงสาว กล่าว
อย่างไรก็ตาม มีเพียงชายคนเดียวที่เธอเลือกให้เขาเป็นพ่อของลูก และจดทะเบียนเป็นพ่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งเขาเองก็ยินดีที่จะรับผิดชอบช่วยเหลือดูแล และเป็นพ่อของเด็กทั้งสองคน
ที่มา: nypost