สามีผู้เสียชีวิตสุดช้ำ จ่าทหารได้ประกันตัว แต่ไร้วี่แววมาเคารพศพ แถมญาติใส่ซองช่วยงาน 5 พัน
เหตุการณ์ เมื่อเวลา 21.55 น. ร.ต.อ.สมัย จำปาทอง รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองลพบุรี ได้รับแจ้งรถยนต์เก๋งชนบุคคลเดินเท้าที่ปากทางวัดซาก ต.ถนนใหญ่ ที่เกิดเหตุผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 1 ราย จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพร้อมประสานเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรุดเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุพบผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นหญิง 1 ราย สภาพมีบาดแผลตามลำตัว ศรีษะแตกเลือดไหลนองพื้น ทราบชื่อนางมนจิราห์ บุญมาก อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/4 หมู่ที่ 1 ต.ถนนใหญ่ อ.เมือง ลพบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสมาได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าช่วงเกิดเหตุผู้ตายได้เดินข้ามถนนมายังอีกฝั่งซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ จำหมายเลขทะเบียนไม่ได้ ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนเสียงดังสนั่นคนเจ็บกระเด็นไปบนหลังคารถตกลงมาจนเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งในเหตุการณ์นี้มีพลเมืองดี และไลน์แมนส่งของ ขับรถจักรยานยนต์ไล่ตามไป ซึ่งยังไม่ทราบทิศทางหลบหนี จนผ่านไปประมาณ 15 นาที ตำรวจได้รับแจ้งว่าไลน์แมน ได้สกัดรถยนต์ที่ชนแล้วหนีได้ที่บริเวณ แยกไฟแดงสะพาน 33 ต.ทะเลชุบศร จึงได้รุดไปยังจุดดังกล่าว พบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า หมายเลขทะเบียน กง-5008 ลพบุรี ที่กันชนหน้ามีร่องรอยการชน ฝากระโปรงบุบ กระจกหน้าแตกร้าว พบคนขับซึ่งมีลักษณะคล้ายเมาสุรา ตัดผมเกรียนคล้ายเป็นข้าราชการ จึงได้ควบคุมตัวพร้อมยานพาหนะมาสอบสวนเพิ่มเติม ที่ สภ.เมือง ลพบุรี
จากการสอบสวนทราบชื่อ จ.อ.กิตตินันท์ เบียดขุนทด หรือจ่าบิว อายุ 25 ปี ในคลิปการไล่ล่าติดตาม มีทั้งตะโกนให้ประชาชนที่ใช้รถรู้ว่ารถคันนี้หนีมา มีเสียงตะโกนด่า จนถึงไฟแดง ซึ่งหากไม่ติดสัญญานไฟแดง รถคันดังกล่าวก็ยังคงจะหนีต่อไป ยังดีที่มีน้องพลเมืองดี และไลน์แมน ช่วยกันไล่และสกัด จนสามารถหยุดรถคันดังกล่าวไว้ได้ ถึงแม้จะให้การปฎิเสธในเบื้องต้นแต่หลักฐานที่พบ
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 12 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ พบยังมีร่องรอยคราบเลือด และกระดาษซับเลือดของมูลนิธิฯ ตกอยู่ที่เกิดเหตุ จากสภาพพื้นที่เป็นทางตรง ที่ศพของนางมนจิราห์ ผู้เสียชีวิต ที่ถูกรถชนจากจุดอื่นมาตกที่ตรงนี้ ก่อนที่จะหลบหนีไปไกลกว่า 3.5 กิโลเมตร
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดซาก ต.ทะเลชุบศร อ.เมืองลพบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ และได้ทำพิธีรดน้ำศพไปแล้ว จากการสอบถามนายกฤชติพงศ์ วงค์ระกา อายุ 53 ปี สามีผู้ตาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ นางมนจิราห์ ภรรยาที่เสียชีวิตได้เดินทางด้วยจักรยานยนต์เพื่อนบ้าน ออกมานอกถนนเพื่อที่จะไปบ้านที่ จ.ปทุมธานี โดยมีตนเองลูกๆ คัดค้านว่าในสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้ ยังไม่สมควรเดินทางไปเนื่องจาก จ.ปทุมธานี ก็ยังมีเชื้อแพร่ระบาดอยู่ แต่ภรรยาไม่ฟังจะไปหาแม่ให้ได้ หลังจากลงรถมอเตอร์ไซด์เพื่อนบ้านที่อาสามาส่งได้เดินข้ามถนนจนถูกรถชนกระเด็นติดกระจกรถไปกว่า 500 เมตร จนมาตกตรงหน้าคราแคร์ดังกล่าว
นายกฤชติพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ทำไมคนชนถึงใจร้ายจังไม่ลงมาดู ไม่ให้การช่วยเหลือ แถมยังขับหนีไปไกลถ้าหากไม่มีไลน์แมน และน้องๆ พลเมืองดี ก็คงจะหลบหนีเข้ากลีบเมฆไปแล้ว จึงอยากวอนตำรวจให้ทำคดีเกี่ยวกับภรรยาของตนให้รอบคอบ รัดกุม โดยสามีกล่าวเสียงสะอื้น ภรรยาตนเกิดวันที่ 14 เมษายน 2513 จะครบอีกไม่กี่วันต้องมาเสียชีวิตอย่างเศร้าสลด ซึ่งครอบครัวของผมมีลูกด้วยกันถึง 4 คน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.สมชาย ชูแก้ว ผกก.สภ.เมืองลพบุรี ถึงคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วง 7 วันอันตรายใช่หรือไม่ ผกก.ตอบว่าใช่ ส่วนข้อหานอกเหนือจากขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงความตาย เมาแล้วขับ ยังมีข้อหาใดเพิ่มหรือไม่ ผกก.ตอบว่า คงมีหลบหนี และไม่ให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นยังไม่ให้ประกันตัว
เมื่อสอบถามถึงการประกันตัว จ.อ.กิตตินันท์ เบียดขุนทด ทราบว่าได้มีนายทหารพระธรรมนูญ เดินทางมายัง สภ.เมือง ลพบุรี เพื่อพบพนักงานสอบสวนขอประกันตัว จ.อ. กิตตินันท์ ออกไปฝากขังที่ศาลทหารที่จังหวัดนครสวรรค์
ด้านนายกฤชติพงษ์ วงค์ระกา อายุ 53 ปี พร้อมลูกๆ และญาติ ได้ร่วมกันบำเพ็ญกุศลศพเป็นคืนที่สอง กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ได้มีญาติของ จ.อ.กิตตินันท์ จำนวน 4 คน ซึ่งไม่ทราบว่าใคร ได้มาพบกับญาติของภรรยา พร้อมแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเองยังไม่อยากจะคุยอะไร ขอให้ทางญาติภรรยาและลูกๆ เจรจา ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเงินจำนวน 5,000 บาท ให้กับลูก ซึ่งตนเองมองว่านี่หรือคือราคาชีวิของภรรยาที่สูญเสียไป รู้สึกไม่พอใจในเมื่อจะมาแสดงความเสียใจ ความรับผิดชอบก็ขอให้มันดูดีกว่านี้ ซึ่งตนเองไม่ได้ดูถูกเงินจำนวนนี้ ไม่นำมามอบให้จะดีกว่า
นายกฤชติพงษ์ สามีผู้เสียชีวิต ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ทางญาติ จ.อ.กิตตินันท์ จะขอเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ว่าอะไร สิ่งที่เกิดไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ยอมรับว่าเสียใจที่สุดที่ภรรยาต้องจากไปในวันใกล้วันคล้ายวันเกิดที่ได้ร่วมฉลองกันในวันครอบครัวทุกปี สงสารลูกๆ ที่ต้องกำพร้าแม่ และเพิ่งทราบว่า จ.อ.กิตตินันท์ ได้ประกันตัวออกไปแล้ว ก็ยิ่งช้ำใจในความใจร้ายของชายชาติทหารที่ไม่ยินดียินร้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากพูดกันตามตรงนายทหารพระธรรมนูญ ที่มานำตัวออกจากโรงพัก ก็น่าจะให้มาเคารพศพหรือมาแสดงความเสียใจ หรือความรับผิดชอบจะดูดีกว่านี้ ซึ่งทางตนเองและครอบครัว รวมถึงลูกๆ ได้คุยกันไว้ว่าความสูญเสียภรรยาอันเป็นสุดที่รัก แม่ของลูกๆ รวมถึงแม่ของภรรยา(แม่ยาย) ที่ชราภาพที่ต้องดูแลกันไปชั่วชีวิต ตั้งใจเรียกค่าทดแทนความสูญเสียไว้ที่ 1 ล้านบาท.
ขอบคุณ ไทยรัฐ/ FB:พงศกร ภูมี