ทนายเผยคดีอมเงินวัดพุทธปัญญา ด้านพระชาตรี โต้ทุกข้อกล่าวหา

ทนายวัดพุทธปัญญา เผยศาลออกหมายจับเหรัญญิกเป็น 1 ใน 4 จำเลย ถูกฟ้องยักยอกเงินวัด 4.3 ล้านบาทเมื่อปี 58 ก่อนเบี้ยวเบิกความชั้นซาล หนีออกนอกประเทศ ระบุต้องจับตัวได้ก่อนถึงจะทราบเส้นทางการเงิน มีใครบ้าง รับยังไม่พบเส้นทางเชื่อมโยงพระชาตรี  ด้านพระชาตรี เหมพันโธ พร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหา ยันไม่มีความผิดคดียักยอกเงินวัดพุทธปัญญา และศาลยกฟ้องแล้ว ด้านสำนักพุทธฯ ลุยเก็บข้อมูล “พระชาตรี” ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนแจ้งเจ้าคณะผู้ปกครอง

 

 

 

วันที่ 26 ก.ย.65 ที่วัดพุทธปัญญา ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี นายปัญญา จารุมาศ ทนายความของวัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินจากบัญชีวัดพุทธปัญญาเมื่อปี 2558 ว่า จากการไปขอคัดสำนวนที่ศาลจังหวัดนนทบุรี พบว่าคดียังอยู่ในการพิจารณาของศาล ซึ่งหลังจากยื่นฟ้องในปี 58 แล้ว มีการเรียกเบิกความจำเลยทั้ง 4 คนได้แก่ จำเลยที่ 1 พระชาตรี ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสขณะนั้น จำเลยที่ 2 เป็นพระลูกวัดรูปหนึ่ง จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการวัด และจำเลยที่ 4 เป็นหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเหรัญญิกของวัดในระหว่างที่พระชาตรีดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการเจ้าอาวาส

 

 

นายปัญญา กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมด พบมีการเบิกเงินจากบัญชีของวัด ภายในระยะเวลา 1 เดือนกว่า ไปจำนวน 4.3 ล้านบาท โดยเบิกครั้งละประมาณ 2-3 แสนบาทต่อครั้ง โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้เซ็นเบิกรับเงินเพียงคนเดียว และไม่ยอมเดินทางมาเบิกความในชั้นศาลเพียงคนเดียวด้วย ศาลจึงพิเคราะห์ออกหมายจับจำเลยที่ 4 เมื่อปี 60 จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถจับกุมจำเลยที่ 4 ได้ เนื่องจากพบเบาะแสว่าผู้ต้องหารายนี้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว โดยเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2558

 
 

นายปัญญา เปิดเผยอีกว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 4 แม้จะยังไม่พบความเชื่อมโยงไปถึงพระชาตรี แต่พระชาตรีเบิกความต่อศาลไว้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพียงผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้ไปเบิกเงินเท่านั้น โดยให้เหตุผลต่อศาลว่ามีการอนุมัติให้ถอนเงิน เพื่อนำไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และค่าบำรุงกิจการของวัด นอกจากนั้นยังยื่นฟ้องจำเลยที่ 4 กับศาลแขวงนนทบุรี พร้อมเขียนจดหมายแถลงต่อศาลให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้นำเงินมาคืนด้วย โดยเงินจำนวน 4.3 ล้านบาทที่ถูกยักยอกไปนั้น ทางวัดยังมีโอกาสจะได้คืน เนื่องจากคดีนี้มีอายุความถึง 20 ปี เมื่อเกิดการฟ้องร้องในปี 60 หมายความว่าอายุความจะสิ้นสุดในปี 80 ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาตัวจำเลยคนที่ 4 ที่เป็นผู้เซ็นรับเงินไป ถึงจะรู้เส้นทางว่ามีการกระจายโยกย้ายเงินไปที่ใครบ้าง

 

 

 

ขณะเดียวกันพระชาตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งคำถามที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขณะนี้ ตนชี้แจงได้ทุกเรื่อง เช่น ภาพโชว์หน้าอก ก็เป็นภาพขณะออกกำลังกาย เพราะตนชอบออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วขณะที่กำลังออกกำลังกายอยู่ก็มีพระที่ประเทศไทยวิดีโอคอลมาหา แล้วได้มีการบันทึกรูปเก็บไว้ ส่วนการหลอกให้ทุนนักเรียนไทย ก็ไม่ใช่เรื่องจริง มีแต่กรณีที่นักเรียนไทยได้ทุนแล้วเรียนต่อไม่ไหว ถูกมหาวิทยาลัยที่นี่รีไทร์ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับตนแล้ว และหากใครมีหลักฐานว่าตนหลอกให้ทุนนักเรียนไทยก็ออกมาโชว์ได้เลย ขณะที่เรื่องที่ยักยอกเงินวัดพุทธปัญญา 4 ล้านบาทนั้น ศาลยกฟ้องแล้ว ตนไม่มีความผิด และกรณีที่บอกว่า ตนจ้างคนมารุมกระทืบพระที่วัดพุทธปัญญา ขณะเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญานั้น ข้อเท็จจริงคือ ตนเป็นผู้ถูกรุมกระทืบต่างหาก ซึ่งตอนเกิดเหตุตนยังไปแจ้งความไว้ที่ สภ.นนทบุรี แล้วด้วย สามารถไปตรวจสอบได้

 

“คดียักยอกเงินวัดพุทธปัญญานั้น ศาลยกฟ้องไปแล้ว และอาตมาไม่มีความผิด การที่เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ได้ให้ทนายความไปคัดสำเนาคดีนี้นั้น ก็ขอให้เปิดเผยออกมาได้เลย จะได้ทราบความจริงกัน ทั้งที่ศาลยกฟ้องไปแล้ว แต่ทำไมทั้งเจ้าคณะ ต.บางเขน และเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา ถึงยังพูดในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง” พระชาตรี กล่าว

 

 

 

 

ขอบคุณ เดลินิวส์/ไทยรัฐ/เนชั่น