เมื่อ 13.25 น.วันที่ 15 เม.ย. 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยใจความสำคัญช่วงหนึ่ง ระบุถึงเงินเยียวยา 5 พันบาท ว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.กู้เงิน จำนวน 1 ล้านล้านบาท จะมีขั้นตอนและรอการประกาศใช้ก็จะอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน หรือ พฤษภาคม ซึ่งในการเดินหน้าเพื่อใช้เงินตรงนี้จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ตามขั้นตอนของร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน เพราะฉะนั้นน่าจะเงินส่วนรี้ได้ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน นี้
วันนี้เราใช้เงินรายจ่ายจากงบกลางปี 2563 และบางโครงการก็เอาคืนมาเพราะยังไม่ได้ดำเนินการก็นำมาช่วยในช่วงนี้ก่อนมีวงเงินอยู่ประมาณ 50,000 กว่าล้านบาทซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยา 5,000 บาท แค่เดือนเดียว เพราะฉะนั้นในเดือนที่2 และ 3 ก็ต้องรอเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ถือเป็นความยากง่ายของรัฐบาล
เพราะเงินเหล่านี้ถือเป็นภาระผูกพันของรัฐบาลเพราะเราต้องหาเม็ดเงินมาชำระหนี้ ดังนั้นการกู้เงินจะทยอยกูเป็นก้อน ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีเงิน 1 ล้านล้านบาท อยู่ในมือทั้งหมดครั้งเดียว หลายคนอาจจะไม่เข้าใจเอาตัวเลขมาคูณและหาร อย่าลืมว่าอย่างไรก็ไม่ทันในเดือนเมษายนนี้อยู่แล้ว
“ย้ำอีกครั้งว่าวันนี้เราจ่ายได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องรอ พ.ร.ก.เงินกู้ และ พ.ร.บ.ที่จะออกมา ในส่วนที่ยังขาดเหลือก็กำลังพิจารณาตรวจสอบคัดกรองอยู่ว่าขาดเหลือตรงไหนและควรจะให้ตรงไหนเพิ่ม หรือมีปัญหาที่ระบบตรวจสอบและคัดกรอง ก็ต้องมาดูให้รอบคอบเพราะวันนี้
สถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นสถานการณ์สำคัญ ผมยืนยันว่าผมจะพยายามดูแลทุกท่านอย่างเต็มที่ตามขีดความสามารถที่รัฐมีอยู่ ขอให้ทุกคนเข้าใจ การสร้างความเข้าใจและการสร้างความบิดเบือนในทางที่ผิดยิ่งจะทำให้การทำงานยากยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะที่เม็ดเงินยังไม่ออกมานั้นในการรองรับช่วยเหลือกลุ่มต่างๆก่อนที่ พ.ร.ก.เงินกู้จะมีผลบังคับใช้ทั้งอาชีพอิสระ รับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว กิจการส่วนตัว ค้าขาย รวมทั้งอาชีพอิสระประกันสังคมตามมาตรา 39 และ 40 ประมาณ 9,000,000 คน
ซึ่งตอนแรกเรามีเม็ดเงินในการช่วยเหลือคนเพียง 3,000,000 คนซึ่งไม่ได้เป็นโคต้าเพียงแต่นำเม็ดเงินที่มีอยู่มาพิจารณาว่าจะจ่ายได้เท่าไหร่เฉลี่ยแล้วได้ 5,000 บาทต่อเดือน จากจำนวน 3,000,000 คน แต่เมื่อจำเป็นต้องขยายความช่วยเหลือไปเป็น 9,000,000 คน ก็ต้องดูว่าจะหาเงินมาจากตรงไหน ซึ่งหลายคนก็เกรงว่าจะไม่ได้รับ แต่ช่วงนี้ก็ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ก็มีปัญหาไม่รู้จะเอาเงินจากส่วนไหนไปโอนให้ ซึ่งก็คงต้องรอสักระยะหนึ่ง แต่ก็เข้าใจความเดือดร้อนของทุกคน
“วันนี้ก็เป็นห่วงคนที่ไปหาผลประโยชน์ซึ่งบางคนมีความลำบากและยากจนอยู่แล้วยังเอาเงินไปจ้างให้คนส่งข้อมูลเพื่อเข้าสู่ระบบการคัดกรองของกระทรวงการคลังเพราะทำไม่เป็น ทราบว่าเป็นจำนวนเงินประมาณ 1,000 บาท โดยไปกู้เงินนอกระบบมาแต่ผลสุดท้ายระบบคัดกรองไม่ผ่านก็เท่ากับเสียเงินไป 1,000 บาท เงิน 5,000 ก็ไม่ได้
ผมถือว่าคนที่แสวงหาผลประโยชน์เหล่านี้เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ บางคนก็มีการปลอมเอกสารเพื่อไปรับประโยชน์ต่างๆคนเรานี้ไม่คิดว่ายังมีอยู่ในประเทศไทยแต่เชื่อว่ายังมีอีกเยอะ รวมทั้งนายทุนเงินกู้ต่างๆ เมื่อรัฐบาลมีมาตรการต่างๆออกมาก็ควรจะช่วยเหลือรัฐบาลบ้างหากเป็นเช่นนี้ก็ต้องใช้มาตรการทางกฏหมายอย่างเต็มที่ อย่ามัวแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ทรมาณแสนสาหัสของประชาชน แล้วจะมีความสุขหรือ”นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนที่ยังขาดอยู่ก็คงจะต้องหาเงินเพิ่มมาอีกทั้งจากงบกลาง เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน 45,000 ล้านบาท แต่หลังจากเดือนเมษายนไปแล้วเราก็ต้องรอเงินจะจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ถึงจะมีเงินก้อนไหนออกมา ก็ต้องมาดูว่าในเดือนที่ 2-3-4 เพียงพอหรือไม่แล้วจะให้กันอย่างไร แต่ทุกคนผมรับรองว่าจะดูแลให้ครบทุกคน
ในส่วนของแรงงานในระบบประกันสังคม ที่มีรายได้ประจำ ประกันสังคมมาตรา 33 มีอยู่จำนวน 11 ล้านคน วันนี้ได้ใช้เงินจากกองทุนประกันสังคมประมาณ 2 แสน 3 หมื่นล้านบาท ก็ได้มีการปลดล็อคต่างๆผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการรัฐบาลต้องหามาตรการในการช่วยเหลือวันนี้กระทรวงแรงงานก็จำเป็นต้องไปหาเม็ดเงินเพิ่มถือเป็นการบริหารของกองทุนประกันสังคม ขอร้องว่าอย่าว่ากันไปมาเลย เพราะเงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินที่ทำให้แรงงานสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้