สวนสัตว์ ‘พาต้า’ ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ไม่เคยแม้แต่จะคิด ขายลิงกอริลลา ‘บัวน้อย’ พร้อมตอกกลับผู้มีอำนาจ ไม่เคยมาเหลียวแล ศึกษาหาข้อมูล ก่อนทำโครงการเคลื่อนย้าย แต่กลับกล่าวหาทำสัตว์ “ติดคุก” ทั้งที่เฝ้าเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดเป็นอย่างดี ปลอดเชื้อโรคใด ๆ กว่า 30 ปี จนถึงบั้นปลายชีวิตของลิง
กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อมีกระแสข่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมจัดระดมทุนโครงการพา กอริลลา “บัวน้อย” ที่อยู่ในสวนสัตว์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง กลับแผ่นดินบ้านเกิดให้ได้ก่อนจะตาย โดยได้เจรจากับสวนสัตว์ห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าเจ้าของขายให้ราคา 30 ล้านบาท แต่ต่อมาห้างดังก็ออกมาปฏิเสธ ยืนยันไม่เคยตั้งราคาขายกอริลลา จึงขอไล่เรียงเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนี้
- เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2565 นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีโครงการที่จะพา “บัวน้อย” หรือ “กอริลลา” ที่อยู่ในกรงสวนสัตว์ในห้างสรรพสินค้าพาต้า กลับไปสัมผัสดินแดนที่เป็นเหมือนแผ่นดินเกิด ที่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงตระกูลกอริลลาอยู่ ก่อนที่เจ้าบัวน้อยจะตาย โดยได้ไปเจรจากับเจ้าของบัวน้อย ซึ่งเป็นเจ้าของสวนสัตว์ห้างสรรพสินค้า แต่ปรากฏว่าเจ้าของบอกราคาขายอยู่ที่ 30 ล้านบาท
- ส่วนเหตุผลที่ต้องเอาบัวน้อยกลับบ้าน เนื่องจากก่อนหน้านี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทางองค์การสวนสัตว์ มักจะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนบ่อยครั้ง เรื่องสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของบัวน้อย ที่โดดเดี่ยวอยู่ในกรงมากว่า 30 ปี อยากจะให้บัวน้อยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่คงไม่ถึงขั้นเอาไปปล่อยป่า เพราะหากทำเช่นนั้นบัวน้อยคงอยู่ไม่ได้ แต่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตบัวน้อย อยากให้บัวน้อยได้เห็น ได้สัมผัสกับสายพันธุ์ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง และแผ่นดินเกิดที่ประเทศเยอรมนีดีกว่าตายไปอย่างโดดเดี่ยวในกรงตัวเดียว
- ต่อมา หลังจากข่าวกอริลลา “บัวน้อย” ถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก โดยความเห็นถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
- กระทั่ง “สวนสัตว์พาต้า” ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว โดยเผยว่า ผู้บริหารของห้างฯ พาต้าในชุดปัจจุบัน ได้เข้ามาบริหารงานตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. 2563 ซึ่งจนถึงวันนี้ทางผู้บริหารผู้มีอำนาจตามกฎหมายของบริษัท ขอยืนยันว่า “ไม่เคยเจรจาซื้อขายบัวน้อยกับผู้ใดและหน่วยงานใด”
- ในทางกลับกันยังปฏิเสธการเคลื่อนย้ายบัวน้อย ตามที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เคยสอบถามและได้ตอบกลับไปอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยสาเหตุที่ไม่มั่นใจในการปรับตัวของ “บัวน้อย” ลิงกอริลลาในวัยชราที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ด้วยความคุ้นเคยต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดเชื้อโรคใดๆ เป็นเวลากว่า 30 ปี
- ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีผู้ใดหรือหน่วยงานใด ติดต่อเข้ามาเพื่อใช้เวลาศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลจากในสถานที่ และตัวตนที่แท้จริงของบัวน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ให้สัมภาษณ์ หรือตลอดจนผู้ที่คิดจัดตั้งโครงการใดๆ เกี่ยวกับบัวน้อยนั้น ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาศึกษาใช้เวลาในสถานที่แห่งนี้ ถึงความเป็นไปได้ในโครงการของตนเองก่อนการนำเสนอ ซึ่งถือเป็นความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก
- สำหรับการเลี้ยงลิงกอริลลาให้อยู่รอดภายในสวนสัตว์ ซึ่งที่ผ่านมาในแง่นี้ถือเป็นความสำเร็จที่ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นที่พิสูจน์ได้ จนวันนี้บัวน้อยอยู่ในวัยชรา บั้นปลายสุดท้ายของชีวิตตามอายุขัยของลิงกอริลลา ซึ่งทางสวนสัตว์พาต้าเองก็ได้มีการประชุมเรื่องการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ด้วยความตระหนักดีว่า “ในอายุขัยเช่นนี้ บัวน้อย ลิงกอริลลาล้ำค่าตัวสุดท้ายของประเทศไทย สามารถตายจากเราไปได้ทุกเมื่อ”
- นับเป็นการยากถึงยากที่สุด ที่นับต่อจากนี้อีกหลายปีหรือหลายสิบปี จะได้มีโอกาสได้เห็นลิงกอริลลาตัวต่อไปภายในประเทศไทยของเรา หากแต่มุมมองของความต้องการให้บัวน้อยกลับไปตายที่ประเทศต้นกำเนิดตามที่หลายฝ่ายต้องการนั้น อาจเป็นเรื่องที่สามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปได้ แต่ผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องต่อกิจการสวนสัตว์ ไม่สมควรใช้คำว่า “ติดคุก” กับสัตว์ในสวนสัตว์
- ทางสวนสัตว์พาต้า จะไม่ขอกล่าวถึงสนธิสัญญาไซเตส (CITES) ที่ห้ามซื้อขายสัตว์ต้องห้ามบางจำพวก เช่น ลิงกอริลลา เพียงแต่ต้องการให้ข้อมูลความจริงว่า ที่ผ่านมาสวนสัตว์ได้ให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่กับบัวน้อยอย่างดีที่สุด ถึงแม้ระยะหลังบริษัทจะต้องประสบกับภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ผู้มีอำนาจจะได้เจรจาหรือตั้งราคาบัวน้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งการทดแทนด้วยผลกำไรจากสิ่งที่เรารัก และหวงแหนมากที่สุด
- ทางด้าน รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (อ.เจษฎ์) อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ก็ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ประเด็นเรื่องลิงกอริลลา “บัวน้อย” ของสวนสัตว์พาต้า ตามความเห็นของผม มันควรจะอยู่ในความดูแลของสวนสัตว์ต่อไป จนสิ้นอายุขัย (คงในไม่กี่ปีนี้) เนื่องจากมันถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์มาตั้งแต่เล็ก เป็นสัตว์เลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้เปรียบเทียบเหมือนคนเมืองรับเลี้ยงเด็กคนป่า 3 ขวบ แล้วอยู่มาอย่างมีคนเลี้ยงดู หาข้าวหาน้ำ หายารักษามาให้ตลอด จนอายุก็มาถึง 80-90 ปี แล้วจะพากลับไปบ้านเกิดอีกที ก็ไม่ไหว แค่เดินทางไกลๆ ก็ไม่รอดแล้ว
- ที่สำคัญการเอาสัตว์กลับไปบ้านเกิด กลับจะสร้างปัญหาในการดำรงชีวิต และอันตรายให้มันมากกว่าด้วยซ้ำ อุทาหรณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็เคยมีที่สวนสัตว์ในสิงคโปร์นำกอริลลาฝูงหนึ่ง มาเลี้ยงแบบให้สัมผัสพื้นดิน แล้วติดเชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในดินจนเสียชีวิตทั้งหมด ในขณะที่ของสวนสัตว์พาต้าจะเป็นพื้นปูน และมีการดูแลทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ให้ปลอดเชื้ออันตรายต่อสัตว์ต่างถิ่นอย่างกอริลลา
อย่างไรก็ตาม “บัวน้อย” เป็นกอริลลาเพศเมีย ที่ได้รับการส่งมาจากประเทศเยอรมนี เมื่ออายุได้ 3 ปี ในราคาประมาณ 3 ล้านกว่าบาท โดยได้นำมาจัดแสดงที่สวนสัตว์พาต้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ในกรงขนาด 20×10 เมตร โดยบัวน้อยเป็นกอริลลาตัวสุดท้ายในประเทศไทย หลังเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITEES) จึงไม่สามารถนำกอริลลาเข้าประเทศไทยได้อีก ถือเป็นกอริลลาที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ที่ได้รับการกล่าวถึงผ่านสื่อต่างๆ มาแล้วเป็นจำนวนมาก.
ขอบคุณ ไทยรัฐ