นายวิชิตร์ มนปราณีต อายุ 43 ปี ชาว อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ มีอาชีพรับจ้างกรีดยาง และตัดอ้อย อยู่ๆ ได้รับหมายจากศาลล้มละลายกลางมาส่งถึงบ้าน โดยในหมายศาลดังกล่าวระบุว่า กรมสรรพากรเป็นโจทย์ฟ้อง นายวิชิตร์ มนปราณีต ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท “ภูเก็ต มอนติ คาโล จำกัด” ซึ่งเป็นจำเลย ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้เด็ดขาด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562
ท่านในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทฯ จำเลย จึงมีหน้าที่ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 30 จึงมีหมายให้ท่านไปให้การสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน ณ กองบังคับคดีล้มละลาย 3 กรมบังคับคดี กรุงเทพมหานคร ภายใน 7 วัน นับแต่วันรับหมายนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามหมายนี้อาจมีโทษทางอาญา
หลังจากได้รับหมายศาลดังกล่าว นายวิชิตร์ก็กลุ่มใจ และกังวลใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะตนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา มีรายได้เพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อวัน และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือแบ่งเบาค่าครองชีพไปรูดซื้อของใช้ในร้านค้าใกล้บ้านเท่านั้น
นายวิชิตร์ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทดังกล่าวเลย จึงรีบนำหมายศาลที่ได้รับเข้าไปสอบถามและขอความช่วยเหลือ ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้ไปสอบถามข้อมูลที่สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ และขอความช่วยเหลือกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิกรณีถูกนำข้อมูลหรือเอกสารไปใช้
หลังจากเข้าพบสรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ ทางสรรพากรจึงทำการตรวจสอบข้อมูลในระบบ ตามที่มีชื่อตนกลายเป็นผู้ถือหุ้นอยู่นั้น ก็พบว่า บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2547 สถานะเป็นนิติบุคคล ประเภทธุรกิจ ซื้อขาย เช่าซื้อ ขายฝากที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่น ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยมีข้อมูลหนี้ค้างชำระตั้งแต่ปี 2561–2563 กว่า 24 ล้านบาท เบี้ยปรับอีก 48 ล้านบาท เงินเพิ่มอีก 24 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ต้องชำระกว่า 97 ล้านบาท
ทางสรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์จึงบอกให้นำเอกสาร ไปติดต่อที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ แต่พอไปติดต่อเจ้าหน้าที่บังคับคดีจังหวัด ก็บอกให้ไปที่กองบังคับคดีล้มละลาย 3 กรมบังคับคดี ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งตนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน และจะต้องไปติดต่อยังไง ที่สำคัญตอนนี้ไม่มีเงินเลยเพราะไม่ค่อยมีคนจ้างงาน ก็อาศัยแค่เงินจากบัตรสวัสดิการรัฐที่ให้รูดซื้อของเดือนละ 200 บาท ส่วนเงินในบัญชีก็มีแค่ 200 กว่าบาท ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปเป็นค่ารถ และที่กังวลมากที่สุดคือกลัวจะตกเป็นแพะถูกจับติดคุกฟรี เพราะไม่รู้ว่ามีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่โตได้ยังไงก็พร้อมให้ตรวจสอบ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะมีมิจฉาชีพเอาเอกสารส่วนตัวไปใช้ หรืออาจจะเกิดความผิดพลาดอะไรซักอย่าง จึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้รู้กฎหมายช่วยเหลือด้วย
ขอบคุณ ข่าวสด