หนุ่มคลั่ง บุกปาประทัด-ไล่ทุบรถ ทำร้ายตร.บนโรงพัก สุดท้ายโดนวิสามัญดับ

หนุ่มป่วยคลั่ง บุกปาประทัด-ไล่ทุบรถ ทำร้ายตร.บนโรงพัก สภ.น้ำยืน สุดท้ายโดนวิสามัญดับ พ่อรับลูกชายป่วยจิตเวช ไปทำงานที่ระยอง กลับบ้านไม่ถึงเดือนก็มาก่อเหตุ ขอความเป็นธรรม เผยลูกไม่มีอาวุธ ไม่น่าจะเอาปืนมาฆ่ากัน จี้เปิดวงจรปิด

 

 

มื่อเวลา 20.30 น. 7 ก.ย. 65 พล.ต.ต.สถาพร เอมโอษฐ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี และ พ.ต.อ.สุพจน์ จงอุตส่าห์ ผกก. สภ.น้ำยืน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกันตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณด้านหน้า สภ.น้ำยืน หลังถูก นายปัทวิน กะวันนา อายุ 32 ปี บุกเข้าไปจุดประทัดลูกบอลใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจในโรงพัก รวมทั้งไล่ทุบรถยนต์ตำรวจ และรถจักรยานยนต์ของประชาชนพังเสียหาย ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงสกัดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

 

สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 14.45 น. วันนี้ (7 ก.ย.) นายปัทวิน (ผู้ก่อเหตุ) ได้ขับรถเก๋ง ยี่ห้อนิสสัน อัลเมร่า สีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร เข้ามาจอดที่ลานเสาธง หน้า สภ.น้ำยืน ก่อนลงจากรถแล้วจุดประทัดลูกบอล 4 ลูก ปาโรงพักเสียงดังสนั่น พร้อมร้องตะโกนโวยวายเสียงดัง จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้เคียง จึงเข้าไปพยายามเจรจา เพื่อให้สงบสติอารมณ์แต่ไม่เป็นผล จากนั้นผู้ก่อเหตุได้เข้าไปหยิบไม้เบสบอลที่อยู่ในรถ ความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร มาไล่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนต้องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง

 

 

ต่อมา นายปัทวิน จึงหันกลับไปทุบรถยนต์และรถจักรยานยนต์พังเสียหายอีก 4 คัน ได้แก่ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีขาว-ดำ ทะเบียนกรุงเทพฯ 1 คัน, รถยนต์เก๋ง สีขาว ทะเบียนกรุงเทพฯ 1 คัน, และรถยนต์ตราโล่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 คัน จากนั้นเมื่อผู้ก่อเหตุเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเข้าไประงับเหตุ จึงหันกลับไปไล่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขึ้นไปทุบกระจกประตูทางเข้าหน้าโรงพักพังเสียหาย

 

 

ขณะนั้น พ.ต.ท.วุฒิกร ยืนสุข รอง ผกก.ป้องกันปราบปราม ได้พยายามเข้าเจรจาเพื่อให้ผู้ก่อเหตุสงบสติอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ผู้ก่อเหตุจึงถือไม้เบสบอลวิ่งเข้าหา พ.ต.ท.วุฒิกร จนเสียหลักล้ม จนต้องชักปืนยิงที่ต้นขาผู้ก่อเหตุ 1 นัด แต่ผู้ก่อเหตุยังไม่ยอมหยุด ยังถือท่อนเหล็กเข้าไปหวังจะท้าร้ายเจ้าหน้าที่อีกครั้ง แต่ถูก ด.ต.สุทัศน์ ศิลาชัย ปฏิบัติงานธุรการ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม. ยิงไปที่ต้นขาผู้ก่อเหตุอีก 1 นัด แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังไม่ยอมหยุด จนเกิดการปลุกปล้ำกันขึ้น และเกิดเสียงปืนดังขึ้นตามมาอีก 1 นัด ครั้งนี้กระสุนปืนเข้าที่ท้องผู้ก่อเหตุ จนฟุบลงหมดสติ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าไปปฐมพยาบาล แล้วรีบนำตัวผู้ก่อเหตุ และ พ.ต.ท.วุฒิกร ส่ง รพ.น้ำยืน ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

 

จากการสอบถาม นายมั่น กะวันทา อายุ 57 ปี บิดาของ นายปัทวิน (ผู้ก่อเหตุ) เล่าว่า ยืนยันลูกชายตนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เมื่อ 7 ปีก่อน ลูกชายตนเคยมีพฤติกรรมชอบทำร้ายและทุบทำลายข้าวของ จนต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่ รพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี หลังจากรักษาหายแล้วได้กลับไปทำงานที่ จ.ระยอง ประมาณ 6 ปี และเพิ่งลาออกจากงานมาพักอาศัยอยู่ที่บ้าน ได้ประมาณ 3 สัปดาห์ และไม่ทราบสาเหตุของการก่อเหตุที่แน่ชัด อย่างไรก็ตามตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะลูกชายไม่มีอาวุธปืนหรือมีด มีเพียงไม้เบสบอลและประทัดลูกบอลเท่านั้น

 

ด้าน พล.ต.ต.สถาพร เปิดเผยว่า หลังจากได้รับรายงาน ตนได้ลงพื้นที่เข้ามาดูข้อเท็จจริงทันที พร้อมทั้งกำชับการทำสำนวนให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากผู้ก่อเหตุที่เสียชีวิตแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บอีก 2 นาย ซึ่งกำลังไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนศพของผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำส่งชันสูตร ที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อย่างละเอียดอีกครั้งต่อไป

 

 

 เมื่อวันที่ 8 ก.ย.65 ที่แผนกนิติเวชโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมืองอุบลราชธานี นายมั่น (สงวนนามสกุล) และญาติพี่น้อง มาขอรับศพนายวันลูกชาย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.น้ำยืน ใช้อาวุธปืน 9 ม.ม.ยิงที่ขา 2 ข้างอย่างละ 1 นัด และที่หน้าท้องอีก 1 นัด จนเสียชีวิต

 

เพราะเข้าไปอาละวาดปาประทัดลูกบอล ใช้ไม้เบสบอลทำจากเหล็กทุบทำลายรถจักรยานยนต์ รถยนต์ของกลาง รถสายตรวจ ซึ่งจอดไว้บริเวณหน้าโรงพักเสียหาย และตีเจ้าหน้าที่ที่เข้าไประงับเหตุบาดเจ็บ 2 นาย โดยญาติจะนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่หมู่บ้านน้ำยืน ต.โซง อ.น้ำยืน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เสียชีวิต และนำไปเก็บรักษาไว้ที่วัดประจำหมู่บ้าน

 

พ่อของนายวัน กล่าวว่า อยากได้รับความเป็นธรรมให้กับลูกชาย ยังไงจะต้องสู้คดี เนื่องจากตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ติดใจที่ว่าลูกชายไม่มีอาวุธปืนแต่อย่างใด มีแค่ไม้เบสบอลที่เป็นท่อนเหล็กที่ทุบทำลายรถยนต์ แต่ตำรวจใช้ปืนยิงสกัดไว้ก่อน ยิงขา 2 นัด อีก 1 นัดถูกบริเวณหน้าท้อง รวม 3 นัด ไปดูลูกที่โรงพยาบาลก็พบว่าเสียชีวิตแล้ว

 

“อยากให้ตำรวจมาดูแลรับผิดชอบด้วย คนเสียชีวิตทั้งคน รู้สึกเสียใจมาก ผมเองไม่รู้จะคิดยังไง ได้แต่เสียใจ อยากขอความเป็นธรรม ใครก็ได้ที่จะช่วยได้ ติดใจสาเหตุการตายของลูกชาย ไม่น่าจะเอาปืนยิงลูก เพราะว่าลูกไม่มีอาวุธสงคราม ไม่มีอาวุธปืน มีแค่ท่อนเหล็กเบสบอล ไม่น่าจะเอาปืนมายิงกันไปฆ่ากัน ก่อนเกิดเหตุลูกชายไม่ได้กินยา ยังปกติดีๆ อยู่ เคยรักษาอาการทางประสาทอยู่ ทางโรงพยาบาลบอกว่าหายขาดแล้ว จนไปทำงานที่จังหวัดระยอง” พ่อนายวัน กล่าว

 

ด้าน น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 30 ปี น้องสาวของผู้ตาย กล่าวว่า รับทราบเหตุการณ์จากพ่อ ที่โทรศัพท์ไปแจ้งว่าพี่ชายเข้าไปอาละวาดในโรงพัก ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้ พี่ชายเคยมีอาการทางจิตเวชจริง แต่รักษาจนหายดี จึงเดินทางไปทำงานเป็นช่างไฟฟ้าในโรงงานที่จังหวัดระยอง ส่วนตนก็ทำงานอยู่อีกแห่งหนึ่ง นานๆจึงมาเจอกัน เพราะปกติพี่ชายเป็นคนเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร และไม่มีครอบครัว

 

จนเมื่อเดือนก่อนทราบจากทางบ้านว่า พี่ชายเก็บข้าวของจากจังหวัดระยองกลับมาอยู่ที่บ้านที่อำเภอน้ำยืนแล้ว เมื่อสอบถามพี่ชายก็บอกไม่อยากอยู่ที่โรงงาน ก็เลยกลับมาอยู่บ้าน โดยไม่ได้สังหรณ์ใจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในภายหลัง

 

ส่วนพี่ชายมีความเครียดเรื่องอะไรหรือไม่นั้น ตนก็ไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมาพี่ชายเป็นคนดี ทำงานหาเงินส่งมาให้พ่อแม่ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอะไรให้กับครอบครัว และไม่รู้ว่าอาการป่วยของพี่ชายกำเริบหรือไม่ มารู้อีกทีก็เกิดเรื่องพี่ชายถูกตำรวจยิงไปแล้ว

 

ขณะนี้สิ่งที่อยากจะร้องขอคือความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย อยากเห็นภาพวันเกิดเหตุจากกล้องวงจรปิด ถ้าการกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่เกินกว่าเหตุ ก็ไม่ติดใจอะไร

 

ขณะที่ พ.ต.อ.สุพจน์ จงอุตส่าห์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรน้ำยืน กล่าวถึงภาพเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ จากกล้องวงจรปิดของโรงพัก ขณะนี้พนักงานสอบสวนรวบรวมเป็นประจักษ์พยานหลักฐานในคดีนี้ แต่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องความลับในสำนวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่

 

สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้นยังไม่แจ้งข้อหาใคร เพราะอยู่ระหว่างรอผลการชันสูตรศพของแพทย์ รวมทั้งความเห็นการตรวจรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นายที่ถูกตีด้วยไม้เบสบอล หลังได้พยานหลักฐานครบถ้วน ก็ต้องแจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายที่เข้าระงับเหตุ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยอ้างเหตุป้องกันตัว ขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่วนผู้เสียชีวิตต้องดูว่า ทำผิดในข้อหาใด ก็จะแจ้งข้อหาต่อไปในภายหลังด้วย

 

 

 

 

ขอบคุณ ไทยรัฐ/สำนักข่าวไทย