แฉกลโกงสอบนายสิบ เรียกนักเรียนต้องสงสัย 30 คน มาสอบข้อสอบเดิมใหม่ ปรากฏว่า ทำข้อสอบไม่ได้

สาวออกมาแฉกลโกง ทุจริตสอบนายสิบตำรวจ จ่าย 4.2 แสน แลกโพยคำตอบ ผบ.ตร. สั่งสอบพยานหลักฐานให้แน่ชัด และตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อโยงไปสู้ตัวการใหญ่ พบมีทั้ง ข้าราชการ ตำรวจ และติวเตอร์ เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ยังได้เรียกนักเรียนต้องสงสัย 30 คน มาสอบข้อสอบเดิมใหม่ ปรากฏว่า ทำข้อสอบไม่ได้

 

 

 

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ประเด็นการทุจริตสอบนายสิบตำรวจในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ที่มีการเปิดเผยกันในโลกโซเชียล แม้ขณะนี้จะยังไม่ชัดเจนว่ามีการทุจริตการสอบจริงหรือไม่ แต่ล่าสุดทีมข่าวได้ข้อมูลสำคัญจากหนึ่งในผู้สมัครสอบนักเรียนนายสิบตำรวจที่ บช.ภ.5 ซึ่งเธอเชื่อว่าจะมีการทุจริตในการสอบครั้งนี้

 

หญิงสาวที่เป็นหนึ่งในผู้สมัครสอบนายสิบตำรวจสายอำนวยการในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 สนามสอบมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เล่าว่า ก่อนที่จะมีการประกาศรับสมัครสอบ ประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือนได้รับการชักชวนจากผู้ปกครองของเพื่อนคนหนึ่ง บอกว่ามีทีมงานส่วนกลางพร้อมช่วยเหลือในการสอบ โดยต้องจ่ายเงิน 420,000 บาท เพื่อแลกกับโพยข้อสอบพร้อมคำตอบที่จะแจกให้ล่วงหน้าก่อนเข้าสอบ แต่เธอปฏิเสธเพราะต้องการใช้ความรู้ความสามารถในการสอบด้วยตัวเอง ส่วนเพื่อนของเธอได้ตกลงและจ่ายเงินไปแล้วประมาณ 3 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือให้จ่ายหลังสอบติด



ต่อมาวันสอบ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เธอได้เข้าสอบที่สนามสอบมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ซึ่งก็พบความผิดปกติหลายอย่าง ทั้งการตรวจค้นที่ใช้เพียงอุปกรณ์ตรวจหาวัตถุ แต่ไม่มีการตรวจค้นตัวแต่อย่างใด เมื่อเข้าไปนั่งสอบก็พบว่ามีการจัดที่นั่งเป็นคู่ ไม่ได้แยกห่างกันทุกคน ระหว่างการสอบก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุมภายในห้อง แต่คุมอยู่บริเวณหน้าห้อง ระหว่างนั้นมีผู้เข้าสอบขออนุญาตเข้าห้องน้ำ แม้ว่าคนคุมสอบจะตามไปคุมที่ห้องน้ำด้วย แต่ก็อนุญาตให้ไปพร้อมกันสองสามคน



หญิงสาวผู้เข้าสอบรายนี้ บอกอีกว่า มาตรการคุมสอบในวันดังกล่าว หากเทียบกับการสอบทั่วไปในมหาวิทยาลัย ถือว่าการคุมเข้มมีน้อยกว่า ถือว่าหละหลวม จนทำให้คิดไปได้ว่า เป็นการเปิดทางให้ทุจริตได้สะดวก

 

ต่อมาหลังประกาศผลสอบ ปรากฏว่าเพื่อนของเธอที่ได้จ่ายเงินไปก่อนหน้านี้สอบไม่ติด (บช.ภ.6) โดยเพื่อนเล่าว่า ก่อนเข้าสอบในช่วงเช้าได้รับโพยคำตอบมาใบหนึ่ง เป็นกระดาษที่มีขนาดประมาณสลิปใบเสร็จรับเงินของร้านสะดวกซื้อ โดยได้รับช่วงเช้าก่อนที่จะมีการสอบในช่วงบ่าย แต่เพื่อนของเธอคนนี้ตัดสินใจไม่ควักโพยออกมาดู เพราะกลัวถูกจับได้ และเริ่มรู้สึกละอายใจ ซึ่งหลังจากประกาศผลสอบ เพื่อนของเธอก็ได้ส่งตัวอย่างโพยคำตอบมาให้ดู แต่เป็นโพยของสนามสอบอื่น ซึ่งเธอลองดู ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีอ่านอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าจะมีการติววิธีอ่านโพยกันก่อนหน้านี้

ส่วนเนื้อหาข้อสอบมที่มีการแชร์ในโลกโซเชียล ดูแล้วเป็นข้อสอบชุดเดียวกันกับข้อสอบจริง จึงทำให้รู้ว่าการสอบครั้งนี้มีการทุจริตกันอย่างแน่นอน

ผู้เข้าสอบรายนี้ บอกว่า เธอตั้งใจกับการสอบและเตรียมตัวอ่านหนังสือมานานเกือบสองปี เชื่อว่ามีการทุจริตการสอบอย่างแน่นอน ซึ่งเธอเองมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะนอกจากการทุจริต ก็ยังพบว่ามีคนชื่อซ้ำในการประกาศผลสอบด้วย บางคนมีนามสกุลเดียวกับนายตำรวจระดับสูง จึงรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับคนที่ตั้งใจจริง

ส่วนที่ออกมาให้ข้อมูล ก็เพราะอยากให้การสอบโปร่งใสไร้ทุจริต อยากให้คนที่จะเข้าไปเป็นตำรวจต้องมีความซื่อสัตย์ เพราะหากเข้าไปได้ด้วยวิธีนี้ การทำงานในชีวิตราชการก็คงจะมีวิธีคิดไม่ต่างกัน อยากให้การสอบในอนาคต มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดมากกว่านี้

 

ผบ.ตร.ลั่นเอาผิด ตร.ทุจริตสอบนายสิบ และโดนอั้งยี่ยกแก๊ง ล้อมคอกกันผิดซ้ำ

 

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 ถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ ขบวนการทุจริตข้อสอบในการสอบเข้าโรงเรียนนายสิบ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 (ศฝร.ภ.9) ว่า สาเหตุที่ยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะคณะกรรมการที่มี พล.ต.ต.ดุษฎี ชูสังกิจ รอง ผบช.ภ.9 ทำหน้าที่เป็นประธานสอบ ต้องการให้มีการรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมที่สุด เพื่อให้ผู้ร่วมทำความผิดดิ้นไม่หลุด รวมทั้งต้องการเชื่อมโยงไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะมากกว่าที่อยู่ในข่ายของการทำผิดที่มีอยู่

 

คดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่ต้องทำด้วยความรอบคอบ ซึ่งตั้งแต่มีการจับผู้สมัครอบคนแรกคือ นายเอ (นามสมมุติ) ในสนามสอบแห่งหนึ่ง ใน อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ในห้องสอบ พร้อมหลักฐานคือ กระดาษเฉลยข้อสอบ และส่งดำเนินคดีกับทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ก่อนจะสอบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการทุจริต เพื่อความรอบคอบรัดกุมและได้ตัวทั้งผู้ขายข้อสอบ และซื้อข้อสอบ จึงมีการนำนักเรียน 30 คน ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยมาให้ทำข้อสอบใหม่ ที่เป็นข้อสอบเดิม ปรากฏว่า “…ทำข้อสอบไม่ได้…” และหลังจากนั้นทางกองบัญชาการตำรวจภาค 9 จึงได้ร่วมมือกับตำรวจส่วนกลาง ทำการสืบสวนสอบสวนจากเบาะแสผู้ที่จับกุมได้เป็นคนแรก จนรู้ถึงผู้ร่วมขบวนการ สถานที่นัดพบ รายชื่อการโอนเงินทางผู้เข้าสอบ เข้าบัญชีของใครบ้าง ขอให้เชื่อว่า ไม่มีการช่วยเหลือใคร และมาเป็นมวยล้มต้มคนดู แต่ที่ล่าช้า เพราะต้องการสาวไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

 

รายงานข่าวจาก “ศูนย์ฝึกอบรมฯ” ที่เป็นเจ้าทุกข์ เพราะเป็นผู้เสียหายโดยตรงแจ้งว่า สาเหตุที่ พล.ต.ต.ธรรมนูญ ประยืนยง ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมฯ ยังไม่สามารถเข้าแจ้งความได้ เนื่องจากมีคำสั่งจาก พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผช.ผบ.ตร. ซึ่งมีคำสั่งจาก ผบ.ตร. ให้เข้าควบคุมคดีนี้ ได้สั่งการให้สอบเพิ่มผู้เสียหาย และพยาน รวมทั้งหลักฐานที่เป็นเส้นทางการโอนเงิน ในกลุ่มของผู้ที่อยู่ในขบวนการทุจริตทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่านี้ รวมไปถึงโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในขบวนการนี้ด้วย

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ตามกฎหมายผู้ที่ “จ่ายเงิน” คือผู้เข้าสอบจำนวน 118 ราย ที่ถูกจำหน่ายจากสารบบการเป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ต้องเป็นผู้ต้องหาในการทุจริตครั้งนี้ด้วย การติดตามตัวการสอบสวนสืบสวนจึงต้องใช้เวลามากขึ้น และต้องมีการกันบุคคลบางกลุ่ม เพื่อเป็นพยานบุคคลในคดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรื่องนี้มีการสืบสวนสอบสวนมาแล้วหลายเดือน จนกลายเป็นข่าวฉาวขึ้น ทำให้ผู้ใหญ่ระดับสูงในส่วนกลางให้ความสำคัญ และสั่งให้มีการสอบเพิ่มในหลายประเด็น และหลายคน

 

ส่วนการตรวจสอบด้านการเงิน พบว่ามีการโอนเงินรวมกว่า 50 ล้านบาท เริ่มจากเส้นทางแรก น.ส.สวย (นามสมมุติ) ข้าราชการหน่วยงานหนึ่งใน จ.ตรัง โอนเข้าบัญชีของตำรวจหญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวกับเป็นน้องสาว และเส้นทางที่ 2 คือ บัญชี น.ส.สวย โอนเข้าบัญชีของ นายเอก (นามสมมุติ) สามีของ น.ส.สวย ซึ่งเป็นติวเตอร์ จากสถาบันติวเตอร์ชื่อดังใน จ.สงขลา เชื่อมโยงไปถึง นายทัน (นามสมมุติ) สามีของตำรวจหญิง โดยขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่กำลังติดตามหาหลักฐานการเชื่อมโยงไปยังบัญชีอื่น ๆ ด้วย แม้ว่าทาง น.ส.สวย จะปิดบัญชีกับธนาคารไปแล้วก่อนการสอบวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคดีนี้ เจ้าหน้าที่พบว่า รายชื่อของผู้ต้องหาเป็นคนที่อยู่ใน จ.สงขลา เกือบทั้งหมด สถานที่มีการจับผู้ทุจริตในการสอบ ก็อยู่ในพื้นที่ของ จ.สงขลา ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นขบวนการใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบเข้าโรงเรียนนายสิบทุกครั้ง

 

 

 

 

ขอบคุณ ไทยรัฐ/สำนักข่าวไทย