ความคืบหน้าหลังตำรวจจับกุม ไอ้แหบ ก่อคดีสะเทือนขวัญฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 9 ขวบ เสียชีวิตบริเวณทุ่งนา ขณะที่ตำรวจต้องล้มเลิกการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเกรงชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์จนเกิดเหตุบานปลาย ด้านแม่ของเด็กหญิงที่เสียชีวิตอยากให้รับโทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 ก.พ. 2564 ความคืบหน้าหลังตำรวจจับกุม นายอนุวัฒน์ ผลจะโปะ อายุ 24 ปี หรือ ไอ้แหบ ก่อคดีสะเทือนขวัญฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 9 ขวบ เสียชีวิตบริเวณทุ่งนาหลังบ้านพักในหมู่บ้านมาบเชือก-คุ้มโนนตูม ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา หลบหนีได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็ถูกตามจับกุมได้ ให้การรับสารภาพก่อเหตุจริง เพราะเมาสุรา ขณะที่ไอ้แหบเคยมีประวัติก่อคดีกระทำชำเราเด็ก ติดคุก 4 ปี หลังพ้นโทษออกมาแค่ 3 เดือน ก็มาก่อเหตุซ้ำหนักกว่าเดิมอีก ขณะที่ตำรวจต้องล้มเลิกการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเกรงชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์จนเกิดเหตุบานปลาย
ล่าสุด นางสาวพอใจ (นามสมมติ) แม่ของเด็กหญิงที่เสียชีวิต กล่าวว่า รู้สึกทำใจได้บ้างแล้ว หลังคนร้ายถูกจับกุมดำเนินคดี แต่ไม่ขอให้อภัยกับการกระทำอันโหดร้ายผิดมนุษย์ของไอ้แหบ และอยากให้รับโทษสถานเดียว คือ ประหารชีวิต เพราะหากถูกปล่อยให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ มั่นใจว่าไอ้แหบจะกลับมามีพฤติกรรมแบบเดิมอีก อยากให้ลูกสาวเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของผู้ต้องหา ไม่อยากให้มีโอกาสมากระทำรุนแรงกับเด็กคนอื่นซ้ำอีก ส่วนกรณีตำรวจไม่นำตัวไอ้แหบมาทำแผน ก็แล้วแต่ทางเจ้าหน้าที่ แต่ขอให้ดำเนินคดีจนรับโทษขั้นสูงสุด
ด้าน นางสมจิตร อายุ 77 ปี ย่าของผู้ต้องหา กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าใจว่า เสียใจมากที่หลานชายก่อคดีโหดร้ายกับเด็กหญิงแค่ 9 ขวบ แม้จะพร่ำสอนให้กลับตัวกลับใจเป็นคนดี หลังเคยติดคุกมาแล้ว แต่หลานชายก็ไม่เชื่อฟัง ซ้ำยังบอกว่าอยากกลับไปติดคุกอีก เพราะออกมาก็ไม่มีงานทำ ไม่มีความสุข ขณะที่ฝ่ายคู่กรณีก็ยังโกรธแค้น เพราะต้องสูญเสียลูกสาววัยเด็ก กำลังเติบโต และขอให้หลานชายรับโทษตามกฎหมาย ตามผลกรรมที่ก่อไว้อย่างสาสม
ขณะเดียวกัน ที่ สภ.ปักธงชัย นายอนุวัฒน์ หรือไอ้แหบ ถูกควบคุมตัวในห้องคุมขัง ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าตัวมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับ ยังไม่มีญาติมาเยี่ยม จากนั้นจะนำตัวส่งฟ้องศาลในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ฐานความผิด 3 ข้อหาหนัก คือ ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เสียชีวิต พรากผู้เยาว์ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.
ขอบคุณ ไทยรัฐ