หลังจากที่ถูกจับตาเรื่องความสัมพันธ์ เคลลี่ ธนะพัฒน์ และภรรยาคนสวย นาย ชนุชตรา ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันมา แต่มีคนจับสังเกตว่าช่วงหลังๆ ไม่ได้ลงรูปคู่ในไอจีมานานนับเกือบ 3 เดือน และฝ่ายหญิงอันฟอลโลว์เคลลี่ รวมถึงยังได้เขียนแคปชั่นที่สื่อความหมายเหมือนคนโสดประมาณว่า “สำหรับใครที่กำลังเหงา คงไม่มีอะไรแนะนำนอกจากเรา, หากคุณต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น จงพาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่มีแต่คนคิดบวกเท่านั้น” และล่าสุด เคลลี่ ธนะพัฒน์ ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องการหย่าแล้ว
อยากพูดอะไรถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้าง?
“ก็อย่างที่หลายคนถาม วันนี้ก็จะมาตอบว่าเป็นเรื่องจริงครับ ผมกับน้องนายก็แยกทางกันครับ เพิ่งย้ายออกจากบ้าน ก็ห่างกันมา 3 เดือนแล้ว แต่เพิ่งย้ายออกครับ ในระหว่าง 3 เดือนก็พยายามที่จะปรับจูน พยายามที่จะคุย แก้ในเรื่องปัญหาที่มันมีครับ มาถึงวันนี้ก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องถอยคนละก้าว”
หลายคนสงสัยสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร?
“คือเราคบกันมาก่อนหน้านี้ 3 ปี แต่งงานมา 2 ปี คบกันก็ด้วยความรักครับ แต่พอเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว อยู่ด้วยกันทุกวัน มันก็จะมีเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนกัน อาจจะมีเรื่องช่องว่างระหว่างอายุ คือมันก็หลายๆ อย่าง มันเป็นปัญหาที่สะสม เราก็พยายามแก้ไข 3 เดือนที่ผ่านมาก็พยายามที่จะคุยกันและแก้ไขปัญหา แต่ไม่ลงตัวสักที ก็เลยคุยกันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะถอยกันมาคนละก้าว”
ในช่วงเวลา 3 เดือนที่เราห่างกัน พยายามประคับประคองหรือปรับจูนยังไงบ้าง?
“ก็พยายามครับ แต่อาจจะด้วยผมทำงานหนักด้วย พอหลังช่วงโควิด ผมเองก็ถ่ายละคร 3 เรื่อง อาจไม่ค่อยมีเวลาเจอกันเท่าไร แต่อยู่ที่บ้านก็พยายามที่จะดูซิว่ามันดีขึ้นมั้ย มันไม่ใช่งันดีคืนดีตัดสินใจเลิก มันมีช่วงเวลาที่เราต้องปรับจูนเข้าหากัน ก่อนที่จะเป็นข่าวออกมาว่าเราได้แยกทางกัน”
ในการตัดสินใจเรื่องนี้ น้องนายว่าไงบ้าง?
“ก็เป็นการตัดสินใจระหว่างเราทั้งคู่ครับ”
มันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถจะไปต่อได้ถึงขนาดนั้นเลย?
“มันก็คงหลายๆ เรื่อง อย่างที่บอกว่าสะสมมา ก็พยายามแล้วครับ ก็ใจหายเหมือนกันครับ”
น้องนายมีการโพสต์ข้อความในไอจีส่วนตัว คนก็ตีความว่าเรามีคนอื่นรึเปล่า เพราะบางประโยคคนจะตีความแบบนั้น?
“คือน้องนายเขาชอบเขียนพวกคำที่เขาเอามา อย่าไปใส่ใจตรงนั้นมากเลยครับ เพราะเขาจะชอบใช้คำที่เขาชอบใช้กัน เขาเรียกว่าอะไรนะ (หันไปถามนักข่าว) คำคมๆ ประมาณนี้ครับ”
มันมีผลกระทบกับเรามั้ยกับสิ่งที่เขาโพสต์ เพราะคนก็เข้าใจผิดได้?
“จริงๆ ผมไม่ได้ใส่ใจกับตรงนั้น แต่ถ้าถามเรื่องมือที่ 3 ผมยืนยันได้เลยครับว่าไม่มีแน่นอน ทั้งสองฝั่งไม่มีเลยครับ ผมอยู่ในวงการมา 20 กว่าปีแล้ว หลายๆ คนรู้จักผมมานานหรืออาจจะเพิ่งมารู้จักผม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมคบกับใครก็คบคนเดียว ไม่คบซ้อน ไม่เคยมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับใคร เพราะฉะนั้นผมบอกได้เลยว่าไม่มีเรื่องมือที่ 3 แน่นอน”
การแยกทางครั้งนี้คือแยกทางไปเลยหรือกลับมาตั้งหลักเพื่อมีโอกาสกลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง?
“ณ วันนี้ได้ตัดสินใจว่าเราแยกทางกันนะครับ เราอยู่แบบเป็นพี่เป็นน้องกันดีกว่า เมื่อเราปรับจูนเข้าหากันแล้วยังเข้าหากันไม่ได้ ในวันนี้ต้องขอพูดว่าคงต้องใช้ชีวิตแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน”
จบกันด้วยดีไหม?
“ก็ดีครับ ก็ได้พูดคุยกัน ก่อนที่จะตัดสินใจแยกทางก็ได้ไปทานข้าวพูดคุยกัน”
ตอนนี้ที่แยกบ้านกัน เราเป็นฝ่ายที่ออกมา?
“ครับ เป็นฝ่ายย้ายออกมาครับ เรื่องเรือนหอจริงๆ เป็นที่ดินของทางน้องเขาอยู่แล้ว แต่ด้วยการสร้างบ้าน เราก็ช่วยต่อเติมในการสร้าง แต่เราไม่ได้ติดใจอะไร เราเป็นผู้ชาย เราก็ย้ายออกมา ข้าวของก็ไม่มีอะไร มีเสื้อผ้า รองเท้าของผมครับ ของๆ เราที่ใช้ก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้เกะกะที่บ้านครับ”
สภาพจิตใจตอนนี้โอเคขึ้นรึยัง?
“ก็ลำบากอยู่ครับ ใจหายครับ ก็เพิ่งย้ายออกมา ก็เป็นเรื่องที่…ทำใจยากครับ”
หลังจากออกมาจากบ้านแล้ว ยังมีโอกาสพูดคุยกับน้องนายบ้างไหม?
“ได้คุยกับคุณแม่ครับ คือน้องเขาถ่ายละครด้วยครับช่วงนี้”
แม่ให้สัมภาษณ์ว่าแค่งอนกัน?
“คือคุณแม่เขาก็อยากให้ผมกับน้องนายพูดดีกว่า ก็ได้คุยกันตลอดที่ผ่านมาที่มีปัญหา เราพยายามปรับจูนเข้าหากัน ผมก็คุยกับคุณแม่เขาทุกวันครับ กลับไปบ้านก็เจอคุณแม่ ก็นั่งคุยกับคุณแม่ ก่อนจะออกไปทำงาน ผมก็นั่งคุยกันทุกวันเลยครับ”
เสียดายไหมเพราะหลายคนมองว่าคู่เราก็น่ารักมากเลย?
“คือผมจริงจังมากและตั้งใจมากกับการใช้ชีวิตคู่ครั้งนี้ครับ เราตัดสินใจแต่งงาน เราก็อยากจะอยู่กับคนคนนี้ไปตลอดชีวิต มันก็ยากครับ”
ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีการง้อหรือย้อนความทรงจำดีๆ กันไหม?
“อ๋อ เราก็มีความทรงจำดีๆ ทุกวันครับ ทุกวันนี้ก็มี อาจจะเบลอๆ นิดนึงนะครับ มันก็หลายเรื่องที่ผ่านมา มันเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่”
เราได้ถามน้องนายไหมว่าเป็นไงบ้างตอนนี้?
“ก็เป็นห่วงเป็นใยตลอดครับ อย่างที่บอกว่าเขาก็ถ่ายละคร ก็ได้คุยกับคุณแม่เขา เราก็ไม่อยากรบกวนน้องเขา”
หลังจากนี้เราวางแผนชีวิตยังไงต่อไป?
“มันเพิ่งย้ายออกมา ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยครับ ผมคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้มันยังใจหายอยู่ อย่างที่บอกว่าเราตั้งใจมาก อยากจะมีครอบครัว วางไว้ว่าปีนี้แหละ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ยากที่จะมาพูดด้วยครับ”
ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้าง?
“เราก็นึกแต่สิ่งดีๆ ที่เราสองคนเคยผ่านมาด้วยกันครับ น้องเป็นคนน่ารัก เรามีเรื่องดีมากกว่าเรื่องแย่ครับ ก็มีเพื่อนฝูง พี่น้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ให้กำลังใจเรา ครอบครัวของเขาด้วย พ่อแม่เขาน่ารักมาก ที่ผมตัดสินใจครั้งนี้ที่จะแต่งงานและเข้าไปอยู่ร่วมกัน ผมรักพ่อแม่เขามาก พ่อแม่เขาเป็นคนดีมาก รักผมเหมือนเป็นลูกคนนึง ผมนั่งคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิตคู่ ผมก็รู้สึกขอบคุณที่เราได้มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขาครับ”
เสียดายไหมเพราะความรักครั้งนี้เต็มที่มาก?
“คงไม่ใช้คำว่าเสียดาย แต่เสียใจ ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอกครับ อย่างที่บอกว่าเรื่องดีๆ มันมีเยอะครับ” ยังสามารถพบปะเจอหน้าพูดคุยกันได้ไหม? “ได้สิครับ ก็ก่อนที่จะออกมาก็ได้คุยกัน ทานข้าวกัน เป็นการตัดสินใจร่วมกัน คือถ้าอยู่ต่อไปเดี๋ยวมันจะมองหน้ากันไม่ติด ถอยกันมาก่อนครับ ให้ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตอยู่คนเดียวก่อน คืออย่างที่บอกว่าตอนนี้ความรักคงได้แค่เป็นพี่น้องกันครับ”
ตอนแต่งงานได้จดทะเบียนสมรสไหม?
“ไม่ได้จด เคยไปเขตแล้ว ว่าจะไปจด แต่พอไปคุยกันแล้วผมถือสัญชาติอเมริกา เขาก็บอกให้ไปคุยกับสถานทูตก่อน เรื่องมันจะยุ่งยากนิดนึง พอจะไปคุยกับสถานทูตหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องโควิด ก็เลยไม่ได้ไปสักที นี่ขนาดพาสปอร์ตผมหมดอายุก็ยังไม่ได้ต่อครับ แต่มีความตั้งใจที่จะจดอยู่แล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีโอกาส”
ยังเป็นห่วงอะไรน้องไหม?
“ก็เป็นห่วงหลายเรื่อง เรื่องงาน เรื่องการดูแล คือเอาเป็นว่าอย่างน้อยเราได้อยู่บ้านเดียวกัน แม้เราอาจจะห่างกันมา 3 เดือน นอนคนละห้องกัน แต่เราก็ได้อยู่ใกล้ตัวและมีอะไรก็มาคุยได้ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็ช่วยได้ แต่วันนี้เราได้ออกมาอยู่คนละที่กันแล้ว มันก็คิดอยู่ตลอดเวลา”
กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นยังไงบ้าง?
“ดีครับ ก็มีแต่คนให้กำลังใจ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญครับ”
ตอนนี้อยู่คนเดียวมีร้องไห้เสียน้ำตาไหม?
“มันก็…มันก็ต้องมีนะครับ”
อยากบอกอะไรกับแฟนๆ ที่เขาให้กำลังใจไหม?
“ก็ต้องขอบคุณมากสำหรับกำลังใจทั้งสองฝ่ายนะครับ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว ก็อยากให้กำลังใจน้องเขาด้วย อย่าไปคิดว่าการที่คนสองคนต้องแยกทางกัน มันเป็นเรื่องน่าเสียใจ เป็นเรื่องที่เจ็บทั้งคู่ครับ ผมก็ไม่อยากให้บางคนที่ไม่รู้จักเราสองคน ไม่อยากให้คิดไปในแง่ลบ หรือไปสนุกกับการคอมเมนต์คำพูด มันก็กระทบกระเทือนจิตใจ แค่นี้มันก็เสียใจมากแล้วครับ แต่ก็ได้กำลังใจเยอะจากแฟนๆ ด้วย มันก็เพิ่งเป็นข่าววันสองวันเนอะ อย่างที่บอกว่าผมมึนๆ ไม่รู้จะพูดอะไร แต่หลายคนถามว่าจริงไม่จริง ก็ต้องออกมาแจ้งนะครับว่าเป็นเหตุการณ์จริงครับ”
เป็นเพราะอายุที่ต่างกันด้วย?
“ก็คงมีด้วยแหละ คือตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะมีนะครับ อายุผมว่าผมไม่ได้มองตรงนี้ การที่เราไปคบคนเด็กกว่าไม่ใช่ว่าผมต้องคบแต่เด็ก มันก็เป็นโชคชะตาที่ต้องมาเจอกันมาคบกัน ไม่ได้คิดว่าจะต้องคบคนที่อายุน้อยเท่านั้น ส่วนมากคนที่อายุใกล้เคียงกันจะมีแฟนมีลูก แต่งงานไปแล้ว เราก็มีโอกาสเจอคนน้อย เนื่องจากเราก็ทำงาน
ที่ผ่านมาผมทำงาน 7 วันติดๆ หลายปี มีโอกาสเจอคนน้อย คนที่เราเจอในกองถ่ายส่วนมากก็จะเด็กกว่าเรา คนที่อายุเท่าเราส่วนมากจะมีครอบครัวไปแล้วครับ แต่มันอาจจะด้วยอายุ การใช้ชีวิตที่มันต่างกัน ผมก็โตมาจากเมืองนอก อาจจะมีความคิดหลายอย่างที่มันแตกต่างกันครับ อันนี้ผมไม่ได้มองว่าอายุเป็นหลัก อย่างที่บอกว่ามันมีปัญหาหลายปัญหาที่สะสมมาครับ”
ขอบคุณ ไทยรัฐ